STC พร้อมเทรดวันแรกพรุ่งนี้ มั่นใจศักยภาพเติบโตโดดเด่น-พื้นฐานแกร่ง-รับอานิสงส์ EEC เชื่อจะสามารถสร้างความประทับใจให้ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม สายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย บมจ.เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ (STC) เปิดเผยว่า มั่นใจว่าหุ้น STC จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ในวันซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 29 พ.ย.นี้ และเชื่อว่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในใจนักลงทุนอีกตัวหนึ่งในระยะยาว
ขณะที่ภายหลังการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ครั้งนี้ ยิ่งทำให้ STC มีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ประมาณ 141.30 ล้านบาทจะนำไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการของบริษัท เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรม
"STC เป็นน้องใหม่ IPO ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน นอกจากจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งแล้ว การดำเนินธุรกิจในอนาคตมีโอกาสเติบโตสูง ในฐานะผู้นำธุรกิจคอนกรีตในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่มีสินค้าและบริการครบวงจรที่สุด ได้อานิสงส์อย่างชัดเจนจากการลงทุนใน EEC" นายรัฐชัยกล่าว
นายรัฐชัยกล่าวว่า STC เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 148 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1 บาท ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ย้อนหลังของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน แม้จะเป็นหุ้นขนาดเล็กแต่มีความโดดเด่นด้านศักยภาพการเติบโต จากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองจังหวัดชลบุรี และในเขตพัฒนาระเบียงพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดย STC มีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่งานฐานรากไปจนถึงงานอาคาร พร้อมทั้งบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจต่อผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการปรับปรุงสูตรผสมคอนกรีตให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อควบคุมต้นทุนและการบริหารจัดการกำลังการผลิตเพื่อให้เกิดการประหยัดขนาดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้านนายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ STC เชื่อมั่นว่าหุ้น STC ที่จะเข้าซื้อขายใน mai วันพรุ่งนี้จะสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้ เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ประกอบกับแนวโน้มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และในพื้นที่ภาคตะวันออก หรือ EEC สนับสนุนให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ของ STC เพิ่มขึ้น
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมา STC ขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปประเภทท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก บ่อพักน้ำ ท่อระบายน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนในการผลิต มีคู่แข่งในพื้นที่น้อยรายที่สามารถผลิตได้ ควบคู่ความสามารถในการทำกำไรในระดับสูงขึ้น จึงมั่นใจนักลงทุนจะเชื่อมั่น และมองเห็นโอกาสการเติบโต
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปีนี้คาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัททั้งรายได้และกำไร เนื่องจากแผนการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานนาวังเฟส 2 ซึ่งดำเนินการผลิตแล้วตั้งแต่ไตรมาส 4/61 ทำให้ปีนี้บริษัทสามารถรับงานได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน สอดรับโครงการ EEC ที่มีการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เพราะโครงการจาก EEC จะสนับสนุนให้ภาคตะวันออกมีการขยายการลงทุนไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี จึงเป็นโอกาสของ STC เช่นกัน
ล่าสุดผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 62 รายได้รวมอยู่ที่ 303.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 17.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221.51% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น 31.78% และอัตรากำไรสุทธิ 5.91%
ปัจจุบัน STC มีโรงงานผลิต 4 แห่ง คือ พัทยา 1, พัทยา 2, หนองปรือ และนาวัง ครอบคลุมพื้นที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีกำลังการผลิตต่อปีรวมสำหรับผลิตภัณฑ์คอนกรีตประมาณ 236,250 คิวคอนกรีต
"ปกติช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่ดีของธุรกิจ เนื่องจากมีการส่งมอบงานอย่างต่อเนื่อง จากช่วงครึ่งปีแรกติดวันหยุดยาว และเป็นช่วงหน้าฝน ทำให้ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ที่ออกมามาตามนัด แค่ไตรมาสเดียวสามารถเติบโตกว่าครึ่งปีแรกทั้งปี และงวด 9 เดือนปีนี้เติบโตกว่าทั้งปี 2561 เรียบร้อยแล้ว สะท้อนแผนการขยายกำลังการผลิต ขยายผลิตภัณฑ์ และการรับงานเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าแนวโน้มไตรมาส 4 จะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งปกติเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอยู่แล้ว สนับสนุนผลงานปี 2562 ให้โดดเด่นกว่าแผนงานที่วางไว้" นายเอกชัยกล่าว
นายเอกชัยกล่าวย้ำว่า ในช่วงปี 2560-2564 รัฐบาลมีแผนการผลักดันโครงการ EEC ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้ Thailand 4.0 และเป็นโครงการต่อยอดมาจากนโยบายโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Sea Board Development) ก่อให้เกิดการลงทุนบนพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าว ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไปมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่สูงจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเกิดขึ้นเพื่อรองรับ EEC ได้แก่
โครงการถนนรองรับ EEC เช่น โครงการปรับปรุงทางหลวงและโครงข่ายถนนสายรองในพื้นที่รอบๆ อู่ตะเภา มาบตาพุด และถนนเลียบชายฝั่งทะเลระยอง-ชลบุรี โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อ 3 สนามบินแบบไร้รอยต่อ รวมไปถึงโครงการพัฒนาเมืองใหม่และการท่องเที่ยว 4 แห่ง ได้แก่ ฉะเฉิงเทรา พัทยา อู่ตะเภา และระยอง เพื่อจะเป็นมหานครแห่งใหม่ นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีนโยบายการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งจะทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบัน STC มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตให้กับผู้รับเหมาที่ได้รับงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวบางส่วนแล้ว และอีกหลายโครงการเป็นโครงการเป้าหมายของบริษัทฯ
รวมไปถึงแผนแม่บทการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตพื้นที่เมืองพัทยา ซึ่ง STC ได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต ได้แก่ ท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักน้ำ ให้กับผู้รับเหมาที่ได้รับงานก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าวบางส่วนแล้ว ทั้งหมดนี้เชื่อว่าจะเสริมความเชื่อมั่นในการเข้าซื้อขายวันแรกของ STC ให้ประสบความสำเร็จ