สภาธุรกิจตลาดทุนไทยยันต้องแยกวงเงินลดหย่อน LTF-RMF หวั่นนักลงทุนเมินออม-เงินเข้าตลาดหุ้นลดลง วอนคลังเร่งหาข้อสรุปเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุน ติงออมยาว 15 ปีนานเกินไป
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกระทรวงการคลัง ที่จะรวมวงเงินลดหย่อนภาษีของกองทุนใหม่ที่จะมาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) รวม 500,000 บาทต่อปีนั้น เนื่องจากจะทำให้เม็ดเงินการออมระยะยาวเข้าสู่ตลาดทุนลดลง เพราะปัจจุบันการลงทุนใน RMF จะมีวงเงินสะสมของนายจ้างรวมอยู่ด้วย รวมถึงประชาชนยังไม่ตระหนักถึงการออมเพื่อวัยเกษียณมากนัก ดังนั้นหากรวมวงเงินยิ่งจะทำให้การออมระยะยาวลดน้อยลง
ทั้งนี้ FETCO ยังเสนอให้แยกวงเงินระหว่างกองทุนใหม่ กับ RMF โดยให้ RMF คงวงเงินลดหย่อนภาษีได้ 500,000 บาทต่อปีเช่นเดิม และเพิ่มวงเงินลดหย่อนสำหรับกองทุนใหม่อย่างน้อย 200,000-250,000 บาทต่อปี เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาในแต่ละปีมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF เข้ามาลงทุนเฉลี่ยปีละ 50,000 ล้านบาท ซึ่งสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทยค่อนข้างมาก
“เราคิดว่าควรแยกวงเงิน เพราะมันคนละวัตถุประสงค์ หากรวมกันคนจะให้ความสนใจกับกองทุนใหม่น้อย และจะทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ไม่เข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งขณะนี้คนยังไม่มีความเชื่อมั่นและรอดูท่าทีของกองทุนใหม่ จึงทำให้เม็ดเงินจากการลงทุน LTF ในปีนี้ไม่ค่อยคึกคัก” นายไพบูลย์กล่าว
ส่วนระยะเวลาในการออม FETCO มองว่าควรอยู่ที่ 10 ปีน่าจะเพียงพอต่อการออม และความสนใจของประชาชนที่จะเริ่มสร้างวินัยการออมในระยะยาว เพราะหากเป็น 15 ปีอาจเป็นการออมที่ยาวเกินไป
นายไพบูลย์ยอมรับว่านักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่น สะท้อนผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ยังสร้างผลตอบแทนต่ำรั้ง 5 อันดับสุดท้ายของโลก หรือมีผลตอบแทนเติบโตเพียง 2-3% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีสงครามการค้าระหว่างกัน โดยสหรัฐฯ ผลตอบแทนในการลงทุนในตลาดทุนสูงถึง 30% ขณะที่จีนมีผลตอบแทนสูงถึง 20%
“ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย โปแลนด์ และชิลี เป็น 5 อันดับสุดท้ายของประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดในปีนี้ สาเหตุเพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ไม่เหมือนกับสหรัฐฯ และจีน ที่แม้จะเกิดสงครามการค้าแต่นักลงทุนยังมีความเชื่มมั่นและพร้อมลงทุนในตลาดหุ้น
ดังนั้น กระทรวงการคลังจะต้องเร่งหาข้อสรุป และให้ความสำคัญต่อตลาดหุ้น และหากรวมวงเงินกันระหว่างกองทุนใหม่กับ RMF ในปีหน้าอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนที่เคยได้จาก LTF จะหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง” นายไพบูลย์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่าเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะสั้น แต่ไทยยังขาดนักลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด โดยมองว่าไทยยังขาดนักลงทุนในระยะยาว ดังนั้นจึงต้องเร่งหาข้อสรุปให้แล้วเสร็จโดยเร็ว