สภาธุรกิจตลาดทุนไทยยันต้องแยกวงเงินลดหย่อนภาษี LTF-RMF หวั่นนักลงทุนเมินออม-เงินเข้าตลาดหุ้นลดลง แนะให้ RMF คงวงเงินลดหย่อนภาษีได้ 500,000 บาทต่อปีเช่นเดิม และเพิ่มวงเงินลดหย่อนสำหรับกองทุนใหม่อย่างน้อย 200,000-250,000 บาทต่อปี เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกระทรวงการคลังที่จะรวมวงเงินลดหย่อนภาษีของกองทุนใหม่ที่จะมาแทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (RMF) รวม 500,000 บาทต่อปีนั้น เนื่องจากจะทำให้เม็ดเงินการออมระยะยาวเข้าสู่ตลาดทุนลดลง เพราะปัจจุบันการลงทุนใน RMF จะมีวงเงินสะสมของนายจ้างรวมอยู่ด้วย รวมถึงประชาชนยังไม่ตระหนักถึงการออมเพื่อวัยเกษียณมากนัก ดังนั้น หากรวมวงเงินจะทำให้การออมระยะยาวลดน้อยลง
ทั้งนี้ FETCO ยังเสนอให้แยกวงเงินระหว่างกองทุนใหม่ และ RMF โดยให้ RMF คงวงเงินลดหย่อนภาษีได้ 500,000 บาทต่อปีเช่นเดิม และเพิ่มวงเงินลดหย่อนสำหรับกองทุนใหม่อย่างน้อย 200,000-250,000 บาทต่อปี เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละปีมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF เข้ามาลงทุนเฉลี่ยปีละ 50,000 ล้านบาท ซึ่งสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดทุนไทยค่อนข้างมาก
“คิดว่าควรแยกวงเงิน เพราะคนละวัตถุประสงค์ หากรวมกันคนจะให้ความสนใจกับกองทุนใหม่น้อย และจะทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ไม่เข้ามาในตลาดหุ้น ซึ่งขณะนี้คนยังไม่มีความเชื่อมั่นและรอดูท่าทีของกองทุนใหม่ จึงทำให้เม็ดเงินจากการลงทุน LTF ปีนี้ไม่ค่อยคึกคัก” นายไพบูลย์ กล่าว
ส่วนระยะเวลาการออม FETCO มองว่าควรอยู่ที่ 10 ปี น่าจะเพียงพอต่อการออม และความสนใจของประชาชนที่จะเริ่มสร้างวินัยการออมระยะยาว เพราะหากเป็น 15 ปีอาจเป็นการออมที่ยาวเกินไป
นายไพบูลย์ ยอมรับว่า นักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่น สะท้อนผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ยังสร้างผลตอบแทนต่ำรั้ง 5 อันดับสุดท้ายของโลก หรือมีผลตอบแทนเติบโตเพียง 2-3% เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่มีสงครามการค้าระหว่างกัน โดยสหรัฐผลตอบแทนการลงทุนในตลาดทุนสูงถึง 30% ขณะที่จีนมีผลตอบแทนสูงถึง 20%
“ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย โปแลนด์ และชิลี เป็น 5 อันดับสุดท้ายของประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดปีนี้ เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ไม่เหมือนสหรัฐและจีนที่แม้จะเกิดสงครามการค้า แต่นักลงทุนยังมีความเชื่มมั่นและพร้อมลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น กระทรวงการคลังจะต้องเร่งหาข้อสรุปและให้ความสำคัญกับตลาดหุ้น และหากรวมวงเงินกันระหว่างกองทุนใหม่และ RMF ปีหน้าอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนที่เคยได้จาก LTF จะหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง” นายไพบูลย์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่าเม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนระยะสั้น แต่ไทยยังขาดนักลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด โดยมองว่าไทยยังขาดนักลงทุนในระยะยาว ดังนั้น จึงต้องเร่งหาข้อสรุปให้เสร็จโดยเร็ว