ช ทวี กลับมาผงาด! แบ็กล็อกแน่นกว่า 1.8 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2563 บิ๊กบอส “สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย” มั่นใจอนาคตสดใส ฐานะการเงินกลับมาแกร่ง 9 เดือนแรกกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท เตรียมจับมือพันธมิตรร่วมประมูลงานรถเช่ามูลค่า 1.8 พันล้านบาทที่คาดว่าจะเปิดประมูลในต้นปีหน้า พร้อมลุยเปิดศูนย์ซ่อมบำรุง "สิบล้อ 24 ชม." อีก 5 แห่งในปี 2563-2565 เพิ่มรายได้บริการ หนุนผลงานโตแกร่ง
นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ส่งผลให้ผลการดำเนินงานมีกำไรต่อเนื่องจากปี 2561 จากงานในมือรอรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น (Backlog) และยังมีงานใหม่ที่อยู่ระหว่างรอประมูล มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็น รถลำเลียงอาหารสำหรับเครื่องบินสายการบินของดูไบ มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท และการประมูลงานเช่ารถโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) จำนวน 257 คัน มูลค่าโครงการรวม 1,826 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเปิดประมูลในช่วงเดือนมกราคม 2563 ซึ่ง CHO จะเข้าร่วมประมูลกับกิจการร่วมค้า (JV)
ส่วนผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 53.62 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 1,896 ล้านบาท ที่ทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 168 ล้านบาท และส่วนที่เหลือรับรู้ในปี 2563 ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่องในส่วนของรายได้จากการขายและบริการงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ 242.02 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 48.85% สาเหตุที่รายได้จากการขายและบริการที่เติบโตขึ้นมาจากการขยายธุรกิจศูนย์ซ่อมรถบรรทุก 24 ชม. และงานซ่อมบำรุงที่ได้รับจากภาคเอกชน กลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค งานซ่อมตามสัญญาระยะยาวที่ได้รับจากหน่วยงานภาครัฐ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHO กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนขยายศูนย์ซ่อมบำรุง "สิบล้อ 24 ชม." เพิ่มอีก 2 แห่งที่สุราษฎร์ธานี และสุวรรณภูมิ จากเดิมมีเพียง 1 แห่งที่ชลบุรี และในปี 2563-2565 คาดว่าจะเพิ่มอีกประมาณ 5 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการให้บริการ ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในส่วนของฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ (Interest-Bearing Debt to Equity Ratio) เหลือเพียง 2.11 เท่า เทียบกับสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 2.55 เท่า