xs
xsm
sm
md
lg

“เมืองอัจฉริยะ”วาระแห่งชาติ กลไกลดความเหลื่อมล้ำ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาสกร ประถมบุตร
“เมืองอัจฉริยะ” วาระแห่งชาติ รัฐบาลหวังเป็นกลไกลดความเหลื่อมล้ำ กระจายความเจริญอย่างเท่าเทียมทั่วประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ Thailand 4.0

"เมืองอัจฉริยะ" หรือ Smart City กำลังกลายเป็นเรื่องใกล้ตัวประชาชนคนไทย ทั้งจากการที่รัฐบาลส่งเสริมเร่งสร้าง "เมืองอัจฉริยะ" ต่อเนื่อง หลังปี 2561 เริ่มสร้างเมืองต้นแบบไปแล้วใน 7 จังหวัด นำร่องโดยพื้นที่ EEC, กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น และภูเก็ต สำหรับปี 2562 นี้ ตั้งเป้าขยายสู่ 24 จังหวัด 30 พื้นที่ และภายใน 5 ปี นับจากนี้ไป จะปูพรมการพัฒนาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ 77 จังหวัด รวม 100 พื้นที่

นอกจากนี้การลงทุนของเอกชนรายใหญ่ยังหันมาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่รูปแบบมิกส์ยูส หรือผสมผสานมากขึ้น จากข้อจำกัดของการพัฒนาแต่ละโครงการถือเป็นเมืองขนาดย่อมที่ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย สำนักงาน โรงแรม คอมมูนิตี้มอลล์ โรงเรียน โรงพยาบาลก็มี โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้ล้วนเป็น Smart City แทบทั้งสิ้น

คำว่า “เมืองอัจฉริยะ” ไม่ใช่เมืองที่วางไฟเบอร์ออฟติก แล้วใส่เทคโนโลยีต่างๆเข้าไป ทุกอย่างใช้เทคโนโลยี แต่ หมายความว่า เมืองที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยและชาญฉลาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการและการบริหารจัดการเมือง ลดค่าใช้จ่ายและการใช้ทรัพยากรของเมืองและประชากรเป้าหมาย โดยเน้นการออกแบบที่ดี และการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจและภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิดการพัฒนา เมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข อย่างยั่งยืน

หนุน“เมืองอัจฉริยะ”ลดความเหลื่อมล้ำ
ดร.ภาสกร ประถมบุตร รองผู้อำนวยการใหญ่ กลุ่มงานศูนย์ดิจิทัลและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า นโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ถือเป็นวาระแห่งชาติ ที่รัฐบาลวาดหวังให้เป็นกลไกที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และกระจายความเจริญอย่างเท่าเทียมกันในทุกภูมิภาคของประเทศ สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12, โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจ Thailand 4.0 และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

“จะเห็นว่าความเคลื่อนไหวของรัฐบาลนานาประเทศในภูมิภาคอาเซียนต่างผสานเมืองเข้ากับดิจิทัลเทคโนโลยี เช่น นครบรูไนดารุสซาราม ทำงานร่วมกับอีริคสันนำร่องการสื่อสาร 5G และ IoT ด้านพนมเปญในกัมพูชา โดยสมาพันธ์ไอซีทีกำลังสร้างเมืองใหม่อัจฉริยะ ซึ่งจะใช้ประโยชน์จากไอซีทีหลายด้าน รวมทั้งแหล่งบริโภคอุปโภคและเชื่อมต่อกับประชาชน ขณะที่จาร์กาตา อินโดนีเซียกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นนครแห่งความโปร่งใสและเมืองน่าอยู่ ด้านเมืองกัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซียเร่งส่งเสริมการใช้ IoT ผ่านเครือข่าย Wide Area Network (WAN) ส่วนเมืองดานัง กำลังพลิกโฉมเป็น Smart City เมืองแรกของเวียดนาม ขณะที่เมืองย่างกุ้งในพม่า มีการเปิดระบบจ่ายเงินผ่าน Yangon Payment System ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้รถขนส่งสาธารณะด้วย” ดร.ภาสกร กล่าว

ที่ผ่านมาประเทศไทยยังคงมีความเหลือมล้ำในการพัฒนาเมืองให้เติบโด มิติของการที่จะเริ่มต้นพัฒนาเมืองให้เป็น Smart City ได้ ควรต้องมีนโยบายกระตุ้นให้เมืองต่าง ๆ ตื่นตัวลุกขึ้นมาพัฒนาเมืองของตนให้กลายเป็น Smart City ซึ่งจะตอบโจทย์และเข้าถึงความต้องการของประชาชนเมืองต่าง ๆ ได้ดีกว่า โดยรัฐบาลจะมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการเป็นเมืองอัจฉริยะ ผ่านกลไกด้านการจัดทำแผนนโยบายและแผนการขับเคลื่อนนำร่อง รวมไปถึงการสร้างระบบนิเวศเพื่อให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและประยุกต์ใช้งานเมืองอัจฉริยะทั้งในพื้นที่เมืองเดิม และ เมืองใหม่ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI , Sandbox เพื่อทดสอบ , งบประมาณ หรือทุน เป็นต้น

สำหรับเมืองอัจฉริยะที่ได้รับการส่งเสริมจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้แก่ 1.กิจการพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะ 2.กิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ และ 3. กิจการพัฒนานิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ส่วนสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ 1.ยกเว้นภาษี 8 ปี (จำกัดวงเงิน) เมื่อมีบริการครบ 7 ด้าน 2.ยกเว้นภาษี 5 ปี เมื่อมีบริการน้อยกว่า 3.เพิ่มการลดหย่อน 5 ปี (ลดหย่อน 50% )หากตั้งอยู่ในพื้นที่ EEC


27 เมืองยื่นขอเป็นเมืองอัจฉริยะ
ที่ผ่านมามี 27 เมืองได้ที่สนใจและส่งแผนเข้าร่วมพัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะแล้ว ได้แก่ 1.Chiangmai Life เทศบาลนครเชียงใหม่ 2.CMU Smart Campus 3.แม่เมาะเมืองน่าอยู่ 4.เทศบาลนคร นครสวรรค์เมืองอัจฉริยะ 5.เมืองอัจฉริยะนนทบุรี 6.ชุมพรเมืองอัจฉริยะ 7.เทศบาลนครสมุย สมาร์ทซิตี้ 8.Smart City สุราษฎร์ธานี 9.ภูเก็ตเมืองอัจฉริยะ 10.อัจฉริยะสตูล 11.หาดใหญ่เมืองอัจฉริยะสีเขียว 12.Chiang Rai Municipality Smart City 13.NAN Municipality Smart City 14.Phitsanulok Smart Tourism

15.Smart City อุดรธานี 16.Khon Kaen Smart City 17.mart City มุกดาหาร 18.Smart City อุบลราชธานี 19.Korat Smart City 20.Chantaburi Smart City 21.เมืองอัจฉริยะมหาไถ่ 22.Rayong Smart Learning & Living 23.WHA นิคมอุตฯ เมืองใหม่ 24.Chonburi Smart City (ศรีราชา) 25.Chonburi Smart City (พนัสนิคม) 26.เมืองอัจฉริยะปัตตานี 27.ยะลาเมืองอัจฉริยะ

เมืองอัจฉริยะที่รับการพิจารณาเป็นเขตสงเสริมเมืองอัจฉริยะเมื่อวันที่ 31 เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้แก่ 1.โครงการ Korat Smart City, โครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่ และโครงการนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเดท ระยอง


ผู้ยื่นข้อเสนอ จะต้องจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการพิจารณาการเป็นเมืองอัจฉริยะของประเทศไทย ประกอบด้วย 1.การกำหนดพื้นที่และเป้าหมาย (Vision & Goals) 2.แนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Plan) 3.แนวทางการพัฒนาระบบข้อมูลและความปลอดภัย (City Data & Security) 4.บริการพื้นที่ และระบบเมืองอัจฉริยะ 7 ด้าน (Solutions) และ 5.แนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน (Management)

ทั้งนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อจัดทำแผนนโยบายและการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระดับพื้นที่ โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์ขององค์ประกอบของแผนการพัฒนาใน 7 ด้าน ประกอบไปด้วย 1.สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) หมายถึง เมืองที่คำนึงถึง ผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและสภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการอย่างเป็น ระบบ เช่น การจัดการน้ำ การดูแลสภาพอากาศ การบริหาร จัดการของเสีย และการเฝ้าระวังภัยพิบัติ ตลอดจนเพิ่ม การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

2.เศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) หมายถึง เมืองที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจและบริหารจัดการ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เมืองเกษตรอัจฉริยะ เมืองท่องเที่ยวอัจฉริยะ เป็นต้น
3.พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) หมายถึง เมืองที่สามารถบริหารจัดการด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความสมดุล ระหว่างการผลิตและการใช้พลังงานในพื้นที่เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาพลังงานจากระบบโครงข่ายไฟฟ้าหลัก

4.การบริหารภาครัฐอัจฉริยะ (Smart Governance) หมายถึง เมืองที่พัฒนาระบบบริการภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวก แก่ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ โดยมุ่งเน้น ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม และมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมบริการ

5.การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) หมายถึง เมืองที่มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกโดยคำนึงถึงหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ให้ประชาชนมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี มีความปลอดภัย และมีความสุขในการดำรงชีวิต

6.การเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) หมายถึง เมืองที่มุ่งเน้นพัฒนาระบบจราจรและขนส่งอัจฉริยะเพื่อขับเคลื่อนประเทศ โดยเพิ่มประสิทธิภาพและความเชื่อมโยงของระบบขนส่งและการสัญจรที่หลากหลาย เพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง รวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

7.พลเมืองอัจฉริยะ (Smart People) หมายถึง เมืองที่มุ่งพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และสิ่งแวดล้อม ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจตลอดจนเปิดกว้างสำหรับความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการมีส่วนร่วมของประชาชน

ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม
Data ยกระดับ Smart City เมืองน่าอยู่
ผศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการภารกิจการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และกรอบงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่สามารถค้นพบในเมืองคือโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้น Smart City จึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานชุดหนึ่งที่ต้องถูกออกแบบให้มีความ Smart โดยภาพใหญ่ของ Smart City องคาพยพของเมืองทั้งหมด ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานและผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น สามารถที่จะตอบสนองกับสิ่งหนึ่งที่จะเห็นถึงปัญหาและความเจ็บปวด Pain Points ที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ดังจะเห็นได้ว่า ต้นทุนของเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ลดลง แต่ประสิทธิภาพและความสามารถเพิ่มมากขึ้น ในยุคปัจจุบันที่ได้ Data เข้ามาช่วยให้การติดต่อสื่อและการเชื่อมต่อเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้น ทำให้เกิดสิ่งแวดล้อม โอกาสทางธุรกิจ และสินค้าพื้นฐานใหม่ๆ ที่จะยกระดับเมืองให้เป็น Smart City เมืองอัจฉริยะและเป็นเมืองน่าอยู่

เมืองมี 4 ระดับคือ เมืองอยู่ไม่ได้: มีทั้งความเสี่ยงสูงและไร้ซึ่งโอกาส, เมืองไม่น่าอยู่: ความเสี่ยงสูง โอกาสน้อย, เมืองอยู่ได้: ความเสี่ยงต่ำ มีโอกาสปานกลาง ส่วนเมืองน่าอยู่ นั้นความเสี่ยงน้อยมากขณะที่โอกาสมีสูงมาก
ในความเป็นเมืองน่าอยู่ ไม่ใช่วาทกรรม แต่มีรายละเอียดของการเป็นเมืองที่มีโอกาสหลากหลายและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น อยู่แล้วมีความสุข แก้ปัญหาขยะ คุณภาพน้ำและมลพิษ สร้างโอกาสและรายได้ ปลอดภัย สะอาดและเป็นระเบียบ โปร่งใสในการบริหาร เดินทางสะดวกปลอดภัย เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้พิการ ผู้สูงอายุ มีสวนสาธารณะและแหล่งเรียนรู้ เป็นเมืองที่เชื่อมต่อผสมผสานเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติแบบเรียลไทม์เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเมือง ประกอบด้วย 1.Traditional Infrastructure สาธารณูปโภคดั้งเดิม 2.Digital Infrastructure สาธารณูปโภคด้านดิจิทัลซึ่งมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปในแต่ละเมือง 3.Charter หรือ กฎบัตร เพราะการพัฒนา Smart City นั้น ไม่ได้มีข้อปัจจัยเพียงในเรื่องของเทคโนโลยีและเรื่องของการลงทุนเท่านั้น แต่สิ่งที่ท้าทายของ Smart City คือ จะทำงานร่วมกันอย่างไร ซึ่งหากดำเนินการถูกต้องมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้เกิด Public Asset Investment ขึ้นมา เพราะฉะนั้นงานที่สำคัญยิ่งยวดคือ Project Management หากการขับเคลื่อนบริหารจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละเมือง จึงจะดึงดูดเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนได้

ฐาปนา บุณยประวิตร
3 หลักการสำคัญเมืองอัจฉริยะ
นายฐาปนา บุณยประวิตร นายกสมาคมการผังเมืองไทย หัวหน้าคณะวิจัย โครงการวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อการออกแบบเมืองอย่างชาญฉลาดเพื่อยกระดับเศรษฐกิจ และสังคม (SG-SBC) กล่าวว่า Smart City เป็นกลไกที่จะเดินไปสู่ความมั่งคั่ง หลักการสำคัญของเมืองอัจฉริยะ คือ 1. Multimodal Transportation Phase ควรจะเป็นเมืองที่มีหลายรูปแบบโหมดการเดินทางอย่างมีเป้าหมายและทิศทาง รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องศึกษาทำความเข้าใจและวิเคราะห์แก้ปัญหา วางแผนพัฒนารูปแบบการเดินทางของประชาชน

2. Innovation District เริ่มเรียนรู้ว่าเมืองมีคนมาอยู่มากขึ้น ส่งผลต่อกิจกรรมแรงหมุนทางเศรษฐกิจบริเวณรอบๆ มากขึ้น ดึงดูดให้คนต้องเข้ามาที่ใจกลางก่อนเพื่อต่อไปยังขนส่งมวลชนต่างๆ ทำให้สามารถรู้ได้ว่าคนจะมารวมกันที่จุดไหน มาเพื่อซื้อของและใช้บริการทำให้เกิดการเพิ่มมูลค่าของ Mobility คมนาคมเดินทาง และ Living การใช้ชีวิตอยู่อาศัย

3. ในพื้นที่ Downtown ของเมืองที่ได้มาตรฐาน ควรใช้พื้นที่ให้มีความคุ้มค่า อย่างน้อย 18 ชั่วโมงต่อวัน กลางวันทำงาน เย็นนันทนาการ กลางคืนค้าขายกับต่างประเทศ จะทำให้ที่ดินมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ระบบ Mobility ทั้งหมด จะส่งผลต่อการตอบสนองมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยจะไปพร้อม ๆ กันทั้งหมด รวมถึงที่อยู่อาศัย สำนักงาน โรงพยาบาล ร้านค้าต่างๆ เป็นต้น มูลค่าทางเศรษฐกิจ ต้องมีความสอดคล้องกับขนาดและปริมาณของนวัตกรรมที่นำมาใช้


15 บทบาท กฎบัตรแห่งชาติ ปี 2050
เพื่อให้การพัฒนาเมืองอัจฉริยะมีความสอดคล้องกันทุกภาคส่วน แพลทฟอร์มที่ 1 กฎบัตรแห่งชาติ ปี 2050 กำหนดการจำแนกตัวชี้วัดตามบทบาทเมืองและตำแหน่งเมืองของไทย ออกเป็น 15 บทบาทได้แก่ 1. เศรษฐกิจสีเขียว 2.การคมนาคมขนส่งที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 3.อุตสาหกรรมสีเขียว 4. อาหารและการเกษตรท้องถิ่น 5. พลังงานสะอาดและภูมิอากาศน่าอยู่ 6. สาธารณูปโภคและอาคารเขียว 7. ที่อยู่อาศัยที่มีราคาเข้าถึงได้ 8. พื้นที่เปิดโล่งและสวน 9. การฟื้นฟูเมืองให้มีชีวิตชีวา 10. ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมีสุขภาพดี 11. การศึกษาที่เป็นเลิศและเท่าเทียมกัน 12. อากาศสะอาด 13. น้ำสะอาด 14. การบริหารในเมืองและจัดเมือง 15. นวัตกรรมและสาธารณูปโภคทันสมัย

ในแพลทฟอร์มที่ 2 กฎบัตรแห่งชาติ ด้านการพัฒนากิจกรรมซึ่งแตกต่างกันไปตามโซนพื้นที่ เช่น 1.ประเภทใจกลางเมือง (Downtown) ศูนย์เศรษฐกิจ ค้าปลีก โรงแรมและการประชุม 2.ประเภทพาณิชยกรรมเมือง (General Urban) ศูนย์เศรษฐกิจ ค้าปลีก โรงแรมและการประชุม 3.ประเภทชานเมือง (Suburban) ศูนย์เศรษฐกิจ ค้าปลีก โรงแรมและการประชุม 4.ศูนย์เศรษฐกิจใจกลางเมืองประเภทเกิดใหม่ (New Downtown) 5.ศูนย์เศรษฐกิจพาณิชยกรรมชนบท (Rural Center)


กำลังโหลดความคิดเห็น