EPG เผยแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง (ต.ค.62 - มี.ค.63) เติบโตต่อเนื่อง จากปัจจัยหนุนด้านการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพเสริมแกร่งเพิ่มกำลังการผลิต โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 62/63 กำไรสุทธิ 326 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 24.5% เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล0.10บาท 12 ธ.ค.นี้
นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลกเปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวอย่างต่อเนื่องทั้งจากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังคงยืดเยื้อ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นส่งผลกระทบในวงกว้างรวมถึงอาจเกิดความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ โดยข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่าเศรษฐกิจไทยช่วง9 เดือนแรกของปี 2562 ขยายตัว2.5% คาดว่าทั้งปีจะเติบโตได้ 2.6% จากเดิมคาดการณ์เติบโตไว้ที่2.7% - 3.2%
EPG ทำธุรกิจในตลาดโลกจึงต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เพื่อที่จะสามารถเติบโตได้อย่างเนื่องแม้อยู่ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวปัจจุบัน EPG มีสัดส่วนรายได้ แบ่งเป็นAEROKLAS 48% AEROFLEX 29% และ EPP 23% สำหรับแนวโน้มธุรกิจและทิศทางการเติบโตในช่วงต่อจากนี้(ต.ค.62 - มี.ค.63) ยังคงดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ โดยคาดว่ารายได้จากขายในปี62/63 เติบโตที่ 5% - 6% เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่คาดว่าจะรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่28% - 30% เนื่องจากยังคงได้รับผลบวกจากราคาวัตถุดิบกลุ่มปิโตรเคมีที่ปรับลดลงและการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การเติบโตของ EPG มาจากการสนับสนุนของ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็นภายใต้แบรนด์ AEROFLEX มุ่งเน้นทำการตลาดในกลุ่มสินค้าพรีเมี่ยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น ในด้านการผลิต บริษัทจะทยอยลงทุนขยายโรงงานใหม่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตภายในระยะเวลา3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างปีหน้า โดยเน้นใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูงขณะที่การลงทุนในประเทศของ AEROFLEX 5 อยู่ระหว่างดำเนินการโดยตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 6,000 ตัน/ปี ซึ่งจะช่วยให้มีโอกาสขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มขึ้นเช่น ในกลุ่มประเทศ CLMV และตะวันออกกลาง
ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS มุ่งเน้นทำตลาดผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ผลิตภัณฑ์ประเภทพื้นปูกระบะ (Bed Liner)/ หลังคาครอบกระบะ (Canopy)และ บันไดข้างรถกระบะ (Sidestep) ที่มีความต้องการใช้จากกลุ่มลูกค้าต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ฝาปิดกระบะ (Roller lid) ออกสู่ตลาดแล้วและ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ จะทยอยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจในประเทศเห็นว่าการบริโภคในประเทศชะลอตัวลงโดยเฉพาะรถยนต์ซึ่งเป็นสินค้าคงทนช่วงเดือน ก.ค. - ก.ย.62ที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยตัวเลขยอดขายรถกระบะในประเทศลดลง 9.6% และยอดส่งออกลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนAEROKLAS เตรียมความพร้อม ปรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตทดแทนเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ในทวีปแอฟริกาซึ่งผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ของโลกหลายรายเข้าไปตั้งฐานการผลิตในประเทศแอฟริกาใต้เนื่องจากสามารถจะขยายธุรกิจไปยังทวีปแอฟริกาและเป็นประตูสู่ทวีปยุโรปจากการสนับสนุนของรัฐบาลแอฟริกาใต้โดย AEROKLAS ได้ลงทุนในกิจการร่วมค้า Aeroklas Duys(Pty) Ltd. ประเทศแอฟริกาใต้ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภท อุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ให้กับลูกค้า OEMและลูกค้ารายย่อยทั่วไปในประเทศแอฟริกาใต้
ธุรกิจในประเทศออสเตรเลีย TJMProducts Pty.Ltd (TJM) ได้ทำตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น ในประเทศมาเลเซียอีกทั้งช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า TJM จะเปิดแฟรนไชน์ในประเทศไทย2 แห่ง ตั้งอยู่ที่ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อให้คนไทยที่ชื่นชอบการตกแต่งรถกระบะ4WDได้เลือกใช้สินค้าคุณภาพดีมาตรฐานประเทศออสเตรเลียภายใต้แบรนด์ TJM
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP เร่งทำการตลาดในประเทศมากขึ้นในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่มส่วนลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม EPP มีศักยภาพเพียงพอที่จะรองรับงานด้วยความพร้อมของกระบวนการผลิตและมาตรฐานความสะอาดความปลอดภัยทางด้านอาหารที่ได้รับการรับรองจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลกตามที่ได้ปรับกลยุทธ์โดยใช้หลักการบริหารจัดการกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้นส่งผลให้ผลการดำเนินงานของ EPP เริ่มปรับตัวดีขึ้นโดยในปีนี้จะทำการตลาดอย่างต่อเนื่องทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการสินค้ามาตรฐานสูงและกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม
นอกจากนี้ EPP สามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบประเภทBio plastic ได้เนื่องจากมีความพร้อมด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรการผลิตโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มและมีแผนลงทุนขยายไลน์การผลิตบรรจุภัณฑ์ประเภทกระดาษเพื่อสามารถให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจรรวมถึง มีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก เช่นกัมพูชา ลาว พม่า ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
สำหรับผลประกอบการงวด6 เดือนของปี 2562/63 (เม.ย.62-ก.ย.62) บริษัทมีรายได้จากการขายทั้งสิ้น 5,434.8 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.4% มีกำไรสุทธิ 541.3 ล้านบาทลดลง 4.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่
ไตรมาส 2 ปี 62/63 (ก.ค.62 - ก.ย.62) มีรายได้จากการขาย2,762.5 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,682.3 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่30.5% และมีกำไรสุทธิ 326.3 ล้านบาทปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 262.1 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.5%
นายภวัฒน์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 กันยายน 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (สิบสตางค์)รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 280 ล้านบาทโดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่12 ธันวาคม 2562 นี้
บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG: ดำเนินธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีธุรกิจหลักคือฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์EPP ทั้ง 3 ธุรกิจประสบความสำเร็จและเติบโตได้ด้วยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้นำทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศมีโรงงานรวมถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมกว่า 100 ประเทศทั่วโลก