โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา (พม่า) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 220เมกะวัตต์ (MW) เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้วเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา โดยได้รับประทับตราลงนามรับรองการซื้อขายไฟฟ้า จากกระทรวงไฟฟ้าและพลังงานเมียนมา (Ministry of Electricity and Energy : MOEE) อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 15พฤศจิกายน 2562 ทั้งนี้ บริษัทร่วมทุนทั้งสาม SCN-ECF-META และผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการมินบูมีความปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่งที่ก่อนหน้านี้ได้รับเกียรติจาก นาง อองซานซูจี ที่ปรึกษาประเทศสาธารณรัฐสหภาพเมียนมา เป็นประธานในพิธีเปิดโรงไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ
นายอองทีฮา ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด หรือ (“GEPT”) และกรรมการบริหาร บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ได้เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(COD) ไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการจะรับรู้รายได้ตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ ในอัตราค่าไฟที่ 0.1275 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง โครงการโรงไฟฟ้ามินบูเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนและโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งแรกของเมียนมาที่ได้รับการออกแบบและดำเนินการก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานระดับสากลโดยเป็นโครงการที่ริเริ่มและลงทุนโดยกลุ่มนักลงทุนคนไทย ที่เข้ามาศึกษาถึงความเป็นไปได้และโอกาสในการเข้ามีส่วนร่วมพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญให้แก่ประเทศเมียนมาซึ่งยังมีความต้องการใช้ไฟฟ้าอีกมากจึงเป็นที่มาของการได้เข้าก่อสร้างดูแลโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ที่ได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับElectric Power Generation Enterprise (“EPGE”) ภายใต้การดูแลของกระทรวงไฟฟ้าและพลังงานMinistry of Electricity and Energy (“MOEE”) เป็นระยะเวลา 30 ปี โครงการโรงไฟฟ้ามินบูมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง220เมกะวัตต์ (MW) แบ่งออกเป็น 4 เฟส ซึ่ง 3 เฟสแรกจะมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งเฟสละ 50MW และ 70 MW สำหรับเฟสสุดท้าย
ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้ามินบูมีผู้ร่วมลงทุนหลักคือบมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) ถือหุ้น 30%, บมจ.เมตะ คอร์ปอเรชั่น (META) ถือหุ้น 12%, บมจ. อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทคจำกัด (มหาชน) (ECF) ถือหุ้น 20% และ Noble Planet Pte. Ltd. (NP)ถือหุ้น 38% ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติรายแรกที่ได้รับอนุมัติให้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และทำโครงการนี้จนประสบความสำเร็จ
นายอองทีฮา กล่าวเสริมอีกว่า“ขอขอบคุณคณะกรรมการและทีมงานของบริษัททุกคน รวมถึงผู้ร่วมลงทุนหลักของโครงการนั่นคือSCN, ECF, และ METAที่มีศักยภาพแข็งแกร่งผนึกกำลังร่วมกันพัฒนาโครงการและฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมายจนทำให้โครงการโรงไฟฟ้ามินบูเฟส1 ประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายแรกไปได้ด้วยดี อีกทั้งโครงการยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นจำนวนมากนอกจากนี้ทางโครงการยังได้รับการสนับสนุนจากทีมที่ปรึกษาที่มีคุณภาพ และผู้สนับสนุนทางการเงินอย่างธนาคารกรุงไทยและ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Export-Import Bank ofThailand) และที่สำคัญที่สุดต้องขอขอบคุณรัฐบาลเมียนมากระทรวงไฟฟ้าและพลังงานที่ไว้ใจ สนับสนุน และให้โอกาสในการมีส่วนร่วมพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ให้ประโยชน์แก่ประชาชนจำนวนมากทั้งนี้เราจะมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการต่อไปให้สำเร็จทั้ง 4 เฟสโดยเร็วที่สุดและไม่หยุดที่จะมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไปในอนาคต”
ดร.ฤทธีกิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานพลังงานหมุนเวียน และยานยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก กล่าวว่า “รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นกำลังหลักที่สำคัญในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูจนประสบความสำเร็จและได้เริ่ม COD อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ โดยเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้ามาตั้งแต่วันที่27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมาทั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และถือเป็นความภาคภูมิใจของทั้งชาวเมียนมาและพันธมิตรทางธุรกิจทุกคนซึ่งเป็นโครงการที่บุกเบิกการพัฒนาธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเมียนมาและพร้อมที่จะนำประเทศเมียนมาไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกๆ ด้านทั้งนี้บริษัทฯมีสัดส่วนการลงทุนในโครงการร้อยละ 30โดยมีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 292 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 10,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะทยอยรับรู้รายได้ส่วนแบ่งตามสัดส่วนการถือหุ้นในไตรมาส 4/2562นอกจากนี้ยังได้เล็งเห็นโอกาสในการขยายตัวทางด้านธุรกิจพลังงานในประเทศจึงได้เข้าไปศึกษาและลงทุนในธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป(สำหรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชนหรือ Private PPA) ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยโดยมีส่วนลดค่าไฟฟ้าเมื่อเทียบกับค่าไฟฐานโดยลงทุนในบริษัทสแกน แอดวานซ์ เพาเวอร์ จำกัด (SAP) คาดว่าปลายปี 2562นี้จะมีสัญญา Private PPA รวมกว่า 10 MW ซึ่งตั้งเป้าถึงปี 2565 บริษัทจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าในสัญญา PrivatePPA รวมทั้งสิ้นกว่า 110 MW คิดเป็นมูลค่าลงทุนกว่า3,000ล้านบาทซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเป็นผู้ประกอบการที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงในช่วงกลางวันอาทิภาคธุรกิจโรงแรม, โรงงานอุตสาหกรรม, โรงพยาบาลและโรงเรียน เป็นต้น
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) ECF กล่าวว่าบริษัทได้เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม220 เมกะวัตต์ ที่เมืองมินบู ประเทศเมียนมา โดย ECF ถือหุ้นในสัดส่วน20% ทั้งนี้เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ทาง EPGE จึงได้ออกหนังสือแจ้งเริ่มวันที่จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์(Commercial Operation Date: COD) สำหรับ Phase 1 ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์พร้อมเริ่มรับรู้รายได้และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้าตั้งแต่วันที่27 กันยายน 2562 โดยบริษัทจะทยอยรับรู้กำไรส่วนแบ่งตามสัดส่วนการถือหุ้นซึ่งหากดำเนินการก่อสร้างครบทั้ง 4 เฟสแล้ว คาดว่าจะสามารถรับรู้กำไรส่วนแบ่งของโครงการไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30ของรายได้ค่าไฟฟ้า หรือคิดเป็นมูลค่กว่า 60 - 70 ล้านบาทต่อปีสำหรับเฟสที่ 2 3 และ 4อยู่ระหว่างการปรับแผนงานเพื่อหาทางเร่งการก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุดซึ่งจะส่งผลให้มีการรับรู้รายได้ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างเฟส2 ในช่วงต้นปี 2563
นายศุภศิษฎ์โภคินจารุรัศมิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ META ผู้นำทางด้านธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กล่าวว่า “ในนามของผู้รับเหมาและผู้พัฒนาหลักโครงการโรงไฟฟ้ามินบูนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่โครงการมินบูได้ดำเนินการจำหน่ายไฟอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัททยอยรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟจากวันดังกล่าวตามสัดส่วนการถือหุ้น12% โดยโครงการโรงไฟฟ้ามินบูสามารถสร้างรายได้เป็นมูลค่าประมาณ 84.4 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี2562 และคิดเป็นมูลค่าประมาณ 418.8 ล้านบาท สำหรับ ปี 2563” นายศุภศิษฎ์ โภคินจารุรัศมิ์ ยังกล่าวเสริมว่า “เราได้สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ให้กับประชาชนชาวเมียนมาและจะไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับเฟสถัดๆไปนอกจากนี้ยังได้เล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านงานก่อสร้างที่เป็นรายได้หลักของบริษัทให้เติบโตยิ่งขึ้นทั้งในเมียนมาเองและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอย่างประเทศฟิลิบปินส์และญี่ปุ่น เป็นต้นสุดท้ายนี้สิ่งที่ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งนั่นคือปัจจุบันโรงงานไฟฟ้ามินบูได้ผลิตไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพได้ดีกว่าที่คำนวณไว้หากแสงแดดและประสิทธิภาพของโรงงานดีไปเรื่อยๆจะทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้มากขึ้นกว่าเดิมที่คาดการณ์ไว้ แต่ไม่เกิน105% ของที่ผลิตได้ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ Electric PowerGeneration Enterprise (“EPGE”)”