"สตาร์เฟล็กซ์" เตรียมขาย IPO 110 ล้านหุ้น ใช้ลงทุนเครื่องจักร-อุปกรณ์ คาดเข้าเทรด SET ปีนี้ ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายประชาชน 99 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.15% และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 11 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.68%
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ของ SFLEX เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทมีแผนจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 110 ล้านหุ้น มีมูลค่าที่ตราไว้ 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.83% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายประชาชน 99 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.15% และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 11 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.68% โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ปัจจุบัน SFLEX มีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 300 ล้านหุ้น ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนที่ออกและเรียกชำระแล้วเป็น 410 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 410 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
"จากการที่ผู้บริหารของบริษัทฯ มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มานานกว่า 32 ปี ทำให้มีความเข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของประเทศ รวมถึงผู้ผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบ (Suppliers) ทำให้มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของสินค้าและผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่องและทันต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงเน้นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต" นายสมภพกล่าว
นายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร SFLEX เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) สำหรับสินค้าอุปโภคและสินค้าบริโภคทั้งในรูปของเหลวและของแห้งให้แก่ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคชั้นนำของประเทศ
ผลิตภัณฑ์ของบริษัทแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ประเภทม้วน (Roll Form) และบรรจุภัณฑ์ประเภทซอง (Pre Form Pouch) รูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Stand-up Pouch, 3-Sided Seal Pouch, Center Seal Pouch และ 4-Sided Seal Pouch และหากพิจารณาตามลักษณะของสินค้าที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภค (Non-Food Products) เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก ครีมอาบน้ำ เป็นต้น และบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภค (Food Products) เช่น ไอศกรีม วุ้นเส้น ขนมขบเคี้ยว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารสัตว์ เป็นต้น
ทั้งนี้ รายได้จากการขายหลักของบริษัทฯ มาจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภค คิดเป็นสัดส่วน 82-85% ส่วนที่เหลือประมาณ 15-18% มาจากการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าบริโภค
จุดแข็งของบริษัทคือการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ (Business Partnership) กับลูกค้า โดยเน้นการสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวและทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดในการพัฒนาและออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างมาก จึงได้พัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานและสามารถผลิตสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าตลอดมา โดยได้รับการรับรองมาตรฐานต่างๆ ได้แก่ FSSC 22000 (Food Safety System Certification 22000), GMP (Good Manufacturing Practices) และ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point)
จากการที่กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและสินค้าบริโภครายใหญ่ของประเทศ จึงให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพที่ได้มาตรฐาน ความสวยงามและทันสมัยของบรรจุภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากบรรจุภัณฑ์ถือเป็นส่วนสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสร้างความแตกต่างและโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ของลูกค้า ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายอย่างใกล้ชิดและรวดเร็วเพื่อเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทกับผู้ผลิตรายอื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำทางด้านบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) ในประเทศกลุ่มภูมิภาคอาเซียน หรือ CLMV
นายปรินทร์ธรณ์กล่าวว่า วัตถุประสงค์การระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้เพื่อซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตฟิล์มประเภทที่ใช้ในการปิดผนึกขึ้นรูป (Sealant) ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งใช้ลงทุนสร้างคลังสินค้าทดแทนการเช่าคลังสินค้าในปัจจุบัน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปี 59-61 มีรายได้รวม 1,181.01 ล้านบาท, 1,353.33 ล้านบาท และ 1,374.25 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 33.29 ล้านบาท, 146.63 ล้านบาท และ 136.11 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 62 บริษัทมีรายได้รวมจำนวน 621.98 ล้านบาท มีกำไรสุทธิจำนวน 30.12 ล้านบาท