ไทยออยล์ กวาดกำไร Q2 ปีนี้ 4,794.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 3,249.53 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,545.21 ล้านบาทหรือ 47.55% ผลจากกำไรสต๊อกน้ำมัน
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่ามีกำไรสุทธิ 4,794.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 3,249.53 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,545.21 ล้านบาท หรือ 47.55% ผลจากกำไรสต๊อกน้ำมันหลังจากราคาน้ำมันพุ่ง
โดยเมื่อเทียบผลงานไตรมาส 2 ปี 61 กับไตรมาส 2 ปี 60 กลุ่มไทยออยล์ มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 16,657 ล้านบาท จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบและปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยรวมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่น ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลงถึง 2.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงหลังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ และ Crude Premium ที่ปรับเพิ่มขึ้นมากประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน กับราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ลดลง รวมทั้งส่วนต่างราคาสารอะโรเมติกส์ กับน้ำมันเบนซิน 95 และส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกับน้ำมันเตาได้ปรับลดลงเช่นกัน ทั้งนี้กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่10.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน
ขณะที่มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 2 ปี 60 อีกทั้งมีกำไรจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทำให้ EBITDA เพิ่มขึ้น 3,560 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้โรงกลั่นไทยออยล์มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิในไตรมาส 2 ปี 60 และมีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการซื้อคืนหุ้นกู้ เมื่อหักค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายภาษีเงินแล้ว ส่งผลให้โรงกลั่นไทยออยล์ ยังมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 1,545 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 60
สำหรับครึ่งแรกปี 61 เทียบกับครึ่งแรกปี 60 พบว่า กลุ่มไทยออยล์ มีรายได้จากการขาย 188,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,679 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายเฉลี่ย และปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยรวมที่ปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการกลั่นไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน 7.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 1.9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงหลังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ และ Crude Premium ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน กับราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ลดลง
อีกทั้ง ส่วนต่างราคาสารอะโรเมติกส์ กับน้ำมันเบนซิน 95 และส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน และยางมะตอย กับน้ำมันเตา ได้ปรับลดลงผลจากจากอุปทานที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 2.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในครึ่งแรกปี 60
นอกจากนี้ ยังมีกำไรจากอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิ 172 ล้านบาท ทำให้กลุ่มไทยออยล์ มี EBITDA 16,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,372 ล้านบาท ทั้งนี้ กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ 312 ล้านบาท ลดลง 1,488 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงจาก ณ สิ้นปี 2560 เมื่อหักค่าเสื่อมราคา ต้นทุนทางการเงิน และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79 ล้านบาทจากครึ่งแรกปี 60
