ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ขยายทำเลต่อเนื่องลุยซื้อที่ดิน หาดบางเทา จ.ภูเก็ต ก้าวสู่ทำเลที่ 3 ส่งผลให้มีโครงการเพื่อพัฒนาอสังหาฯ ครบทั้งตอนเหนือ-กลาง-ใต้ เพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ตุนที่ดินพัฒนาในอนาคตได้อีก 6-10 ปี มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท รองรับเป้าหมายรายได้รวมปี 2563-2565 อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท เผยปัจจุบันมียอด Presale เกินกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ และมียอดขายสะสมรอโอน ประมาณ 1,500 ล้านบาท จ่อทยอยโอนตั้งแต่ Q2/61 พร้อมมั่นใจรายได้ปีนี้ตามเป้าหมาย
นายศศิพงษ์ ปิ่นแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 บริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินริมหาดบางเทา จ.ภูเก็ต เนื้อที่กว่า 13.5 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นทำเลที่ 3 หลังจากประสบความสำเร็จจากหาดราไวย์ และหาดในยาง ที่ผ่านมา หาดบางเทาถือเป็นอีกหาดที่มีความสวยงามเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นหาดที่อยู่ฝั่งตะวันตกตอนกลางของภูเก็ต ทำให้ TITLE มีโครงการครบทั้ง ตอนเหนือ ตอนกลาง ตอนใต้ ของ จ.ภูเก็ต ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มทางเลือก เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าได้อย่างครบถ้วน
ทั้งนี้ การซื้อที่ดินหาดบางเทา ทำให้ TITLE มีที่ดินรอการพัฒนาเป็น 3 หาด ที่สามารถพัฒนาโครงการในอนาคต 6-10 ปี มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท รองรับเป้าหมายในปี 2563-2565 ซึ่งตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการทั้ง 3 ทำเล ในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 4/2561 เป็นต้นไป แบ่งเป็น โครงการในหาดราไวย์ มูลค่าประมาณ 650 ล้านบาท โครงการหาดในยาง มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท และโครงการหาดบางเทา มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท
นายศศิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า TITLE อาจเป็นเพียงผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่มีขนาดเล็ก แต่เราไม่มีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ หรือหนี้สินครัวเรือน ฯลฯ เพราะกำลังซื้อกว่า 80% เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 40 ประเทศกระจายทั่วโลก และเป็นกำลังซี้อที่มีศักยภาพทางการเงินสูง มีความสามารถชำระเงินดาวน์ (เงินล่วงหน้า) 50-75% ก่อนการโอน โดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของบริษัทฯ
นอกจากนี้ TITLE ยังเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่บริหารโครงการเอง ควบคุมการสั่งซื้อวัสดุก่อสร้างเอง ทำให้สามารถลดต้นทุนการก่อสร้างได้ต่ำกว่า 10-15% ของต้นทุนรวม หรือกว่า 5% ของมูลค่าขายโครงการ ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้นเกินกว่า 40% ซึ่งถือเป็นอีกจุดเด่นเราที่แตกต่างจากผู้พัฒนาอสังหาฯทั่วไป
“เราเติบโตอย่างระมัดระวัง บริหารเงินทุนที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเราคำนึงถึงความไว้วางใจที่ผู้ถือหุ้นมีต่อเรา ตั้งแต่ครั้งเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา” นายศศิพงษ์ กล่าว
นายศศิพงษ์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของความคืบหน้าของโครงการที่เปิดขายอยู่ทั้งที่หาดราไวย์ และหาดในยางนั้น ปัจจุบันมียอด Presale เกินกว่า 90% ของมูลค่าโครงการทั้ง 2 หาด ส่งผลให้มียอดขายสะสมรอโอน (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งได้ทยอยโอนตั้งแต่ไตรมาส 2 /2561 และยอดโอนจะสูงในไตรมาส 4/2561 เป็นต้นไป เนื่องจากจะเป็นการเริ่มโอนโครงการหาดในยาง มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จทันตามกำหนด ส่วนยอดรอขายที่เหลือ 200 ล้านบาท คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปีนี้ และทำให้มั่นใจว่าจะสามารถรักษาเป้าหมายรายได้ของปี 2561 และ 2562 ได้ตามที่วางไว้ คือ 600 ล้านบาท และ 900 ล้านบาท ตามลำดับ