ทีเอ็มบี ออกกรีนบอนด์ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1,850 ล้านบาท) อายุ 7 ปี จากความร่วมมือของไอเอฟซี ในการสนับสนุนสินเชื่อให้ธุรกิจในโครงการที่เท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศ (climate-smart project) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มพอร์ตเป็น 15,000 ล้านบาทใน 5 ปีจากปัจจุบันที่ 9,000 ล้านบาท ด้านสินเชื่อรวมคาดโตได้ 8% เอ็นพีแอลทรงตัวที่ 2.4-2.6%
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทีเอ็มบีได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลกในการออก “พันธบัตรสีเขียว” (green bond) อายุ 7 ปี มูลค่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,850 ล้านบาท โดยไอเอฟซี ซึ่งเป็นผู้ลงทุนทั้งหมด และทีเอ็มบี ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งแรกที่ออกพันธบัตรสีเขียว เพื่อนำเงินไปสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในโครงการที่เท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศ (climate-smart project) และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
“ในเรื่องของดอกเบี้ยกรีนบอนด์นั้น ถือว่าต่ำกว่าระบบเพราะทาง IFC ต้องการให้เรามีต้นทุนที่ต่ำในการนำเงินทุนไปปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คงต้องเฉลี่ยกับต้นทุนเงินทุนจากแหล่งอื่นของธนาคารด้วย รวมถึงพิจารณาตามความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจด้วย ซึ่งก็จะต้องพิจารณาตามเกณฑ์ปกติของธนาคาร แต่เท่าที่ดูก็จะเห็นว่าจากเทคโนโลยีที่ราคาต่ำลง มีการพัฒนาที่สูงขึ้น ก็ทำให้ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยีลดลง ก็จะต้องดูที่ความเสี่ยงของตัวธุรกิจต่อไป”
นอกจากนี้ ทีเอ็มบียังมีแผนการที่จะออกกรีนบอนด์นำเสนอต่อนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มเติมอีกในอนาคต เพื่อสนับสนุนการลงทุนส่งผลดีต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเพิ่มมากขึ้นจากเดิมที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจุบัน พอร์ตสินเชื่อสีเขียวของธนาคารมีมูลค่า 9,000 ล้านบาท (280 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาท (400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ภายใน 5 ปีข้างหน้า
นายวิเวก พาทัค ผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ไอเอฟซี กล่าวว่า โครงการที่เท่าทันต่อสภาพภูมิอากาศ (climate-smart project) ที่จะได้รับการสนับสนุนตามวัตถุประสงค์ของกรีนบอนด์ที่ออกในครั้งนี้ ได้แก่ โครงการพลังงานหมุนเวียน และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการขยายสินเชื่อสีเขียวของทีเอ็มบี และยังก่อให้เกิดทางเลือกใหม่ของแหล่งเงินทุนสีเขียวระยะยาวของประเทศในการส่งเสริมให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ร้อยละ 20 ภายในปี 2573 รวมถึงช่วยลดปัญหาการขาดเงินทุนเพื่อสนับสนุนด้านภูมิอากาศ (climate-change finance) ของประเทศไทยซึ่งมีการประเมินไว้ที่กว่า 31,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี จนถึงปี 2573 อีกด้วย
นอกจากความร่วมมือในการออกกรีนด์บอนด์แล้ว ทีเอ็มบีมีแผนที่จะออกพันธบัตรอีกชุดหนึ่ง ในวงเงิน 90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กับไอเอฟซี เพื่อสนับสนุน และสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้สูงขึ้น เพราะเอสเอ็มอีเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย
*คาดสินเชื่อโตแตะกรอบล่าง*
นายปิติ กล่าวอีกว่า สินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเติบโตแตะกรอบล่างของเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8-10% เนื่องจากกลุ่มเอสเอ็มอีฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาดไว้ ขณะที่สินเชื่อรายใหญ่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็คาดว่าในช่วงไตรมาส 3 และ 4 กลุ่มเอสเอ็มอี น่าจะฟื้นตัวได้ดีขึ้น เมื่อปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่ฟื้นส่งต่อลงมาถึง
“เรายังคงเป้าหมายสินเชื่อเดิมที่ 8-10% แต่กรอบบนคงจะไปได้ยากแล้ว เพราะกลุ่มเอสเอ็มอี ที่เป็นเป้าหมายหลักของเราฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาด ขณะที่การเติบโตที่ผ่านมาจะเป็นรายใหญ่มากกว่า ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายของเรา เพราะมาร์จินต่ำ กำไรฟื้นคงยาก ขณะที่เอ็นพีแอลทรงๆ ตัวอยู่ที่ 2.4-2.6% โดยเรามีแนวทางที่จะขายออกไปอยู่แล้ว”