สแกน อินเตอร์ มั่นใจปีนี้กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และสม่ำเสมอเติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ดันผลการดำเนินงานขยับเพิ่มโต 30-40% รับปัจจัยต้นทุนพลังงานปรับตัวเพิ่มช่วยดันความต้องการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV เพิ่มขึ้นขณะที่ปีถัดไปจะรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ตามสัญญาจากโครงการโรงไฟฟ้ามินบู ประเทศพม่า
ดร. ฤทธี กิจพิพิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติแบบครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายมุ่งสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และสม่ำเสมอ (Recurring Income) โดยคาดว่า กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติอัดสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม (iCNG) และกลุ่มธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์ จะเข้ามาเป็นหัวหอกสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ Recurring Income ของ SCN เติบโตได้แบบก้าวกระโดดในปีนี้ เนื่องจากทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจดังกล่าวจะได้รับปัจจัยเกื้อหนุนจากภาพรวมความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 65-70 เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนภาคการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และมองหาพลังงานทางเลือกที่มีความคุ้มค่าอย่างก๊าซธรรมชาติ ที่มีราคาถูก และสะอาดกว่ามาใช้ในภาคการผลิต ทำให้ SCN สามารถขยายฐานลูกค้ารายใหม่ๆ ให้แก่ธุรกิจ iCNG ได้เพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อรายได้ที่คาดว่า ปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท หลังจากไตรมาสแรกปีนี้ iCNG มีรายได้เติบโตมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กลุ่มยานยนต์ในภาคขนส่ง จะหันมาปรับเปลี่ยนใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนความต้องการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ NGV ในภาคอุตสาหกรรมขนส่ง และส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์เช่นกัน
บริษัทฯ มีแผนผลักดันให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าว เข้ามาช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ Recurring Income ในระยะยาว หลังจากปีนี้ SCN มีเป้าหมายจะเปิดดำเนินการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์ให้ครบทั้ง 13 แห่ง จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการแล้ว 8 แห่ง และคาดว่าจะทำยอดขายเฉลี่ย 400,000 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งบางสถานีเป็นการทำสัญญาใหม่กับ ปตท. ที่จะมีรายได้จากการจำหน่ายก๊าซเพิ่มเป็น 3.43 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 2 บาทต่อกิโลกรัม รวมถึงยังมีรายได้จากการจำหน่ายน้ำมันภายใต้แบรนด์ ‘บางจาก’ และพื้นที่ค้าปลีกจำนวน 3 สถานี เพิ่มเติมอีกด้วย
ส่วนกลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่จะรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จาก 2 โครงการแบบเต็มปีอีกประมาณ 60 ล้านบาท และในปีถัดไปจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการก่อสร้างและพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 220 MW ที่เมืองมินบู ประเทศพม่า ซึ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเฟสแรก และจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเชิงพาณิชย์ตามสัญญา (SCOD) จำนวน 50 MW ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในอัตรา 0.1275 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจากหน่วยงานภาครัฐของไทย และสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียน มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 160 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวเมื่อเทียบกับรายได้ในปีนี้ อีกทั้งยังช่วยผลักดันการเติบโตของกลุ่ม Recurring Income ในปี 2019 ด้วย
“ปีนี้เราจะเห็นการเติบโตของรายได้จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และสม่ำเสมอ โดยมีกลุ่มธุรกิจ iCNG และสถานีก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับยานยนต์เข้ามาช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผลการดำนินงานโดยรวม ให้สามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 30-40% และปีถัดไป กลุ่มพลังงานหมุนเวียน จะเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการที่จะสนับสนุนการเติบโตได้อย่างมั่นคงต่อไป” ดร. ฤทธี กล่าว