“เจแอลแอล สปาร์ค” หน่วยธุรกิจที่ดูแลงานด้านเทคโนโลยี JLL ประกาศตั้งกองทุน “JLL Spark Global Venture Fund” ทุ่มงบ 3,200 ล้านบาท สำหรับเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัป proptech ระบุระหว่างปี 56- 60 สตาร์ทอัปในกลุ่ม proptech กว่า 179 บริษัทในเอเชียแปซิฟิก มีการลงทุนรวมมูลค่าทั้งสิ้น 15,360 ล้านบาท หรือกว่า 60% ของมูลค่าการลงทุนโดยกลุ่มบริษัทประเภทเดียวกันทั่วโลก คาดการลงทุนในเอเชียแปซิฟิก จะขยายตัวปีละ 1.44 แสนล้านบาทภายในปี 63
นายมิเฮียร์ ชาห์ ซีอีโอร่วมของเจแอลแอล สปาร์ค (JLL) กล่าวว่า เจแอลแอล สปาร์ค หน่วยธุรกิจที่ดูแลงานด้านเทคโนโลยีของของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ JLL ได้จัดตั้งกองทุน “JLL Spark Global Venture Fund” โดยใช้เงินทุน 3,200 ล้านบาท สำหรับเข้าลงทุนในกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัป ที่พัฒนาเทคโนโลยี proptech เทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุงทุกบริการเกี่ยวกับอสังหาฯ ในทุกด้าน เช่น การพัฒนาโครงการ การบริหารจัดการ การซื้อขายและให้เช่า ตลอดไปจนถึงการลงทุน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ครอบครอง ใช้ประโยชน์ หรือลงทุนในอสังหาฯ
ทั้งนี้ รายงานการวิจัยที่เจแอลแอลร่วมจัดทำกับ Tech in Asia ระบุว่า การลงทุนของกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัปที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (proptech) ในเอเชียแปซิฟิก มีการขยายตัวสูงกว่ากลุ่มบริษัทประเภทเดียวกันในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ในระหว่างปี 56- 60 บริษัทสตาร์ทอัปในกลุ่ม proptech 179 บริษัทของเอเชียแปซิฟิก มีการลงทุนรวมมูลค่าทั้งสิ้น 15,360 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 60% ของมูลค่าการลงทุน โดยกลุ่มบริษัทประเภทเดียวกันทั่วโลก คาดว่าการลงทุนของกลุ่มนี้ในภูมิภาคนี้จะขยายตัวปีละ 1.44 แสนล้านบาทภายในปี 63
“เมืองหลายเมืองในเอเชียแปซิฟิกจัดอยู่ในกลุ่มเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ทซิตีชั้นนำของโลก ซึ่งความเป็นสมาร์ทซิตีของหลายเมืองเหล่านี้ อาศัยเทคโนโลยีด้านอสังหาฯ หรือ proptech เป็นตัวผลักดัน ดังนั้น JLL จึงมีแผนในการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัป proptech ในเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเพื่ออสังหาฯ โดยมีการจัดตั้ง JLL Spark Global Venture Fund เป็นการต่อยอดเป้าหมายของ JLLในด้านนี้”
“กองทุนที่จัดตั้งขึ้น จะเปิดโอกาสให้เราได้ร่วมเป็นหุ้นส่วนกับผู้ประกอบการlสตาร์ทอัปทั้งในระดับประเทศ และระดับโลกที่จะสามารถอาศัยหน่วยธุรกิจบริการด้านต่างๆ ของเจแอลแอล เป็นช่องทางในการขยายการเติบโตให้กับบริษัทของตน ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าของเรา”
เบื้องต้น กองทุนดังกล่วจะเน้นการลงทุนในกลุ่มตาร์ทอัปที่เพิ่งเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และกลุ่มสตาร์ทอัปที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีสำเร็จแล้ว และพร้อมขยายการเติบโต เม็ดเงินที่จะใช้ลงทุนในสตาร์ทอัปแต่ละรายจะมีตั้งแต่กี่พันไปจนถึงหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจะเน้นที่สตาร์ทอัปที่มีผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่มีประโยชน์โดยตรงต่อลูกค้า หรือที่จะช่วยปรับปรุงบริการต่างๆ ของ JLL ที่มีอยู่ให้ดีขึ้น รวมไปจนถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยให้เจแอลแอล มีโอกาสขยายบริการไปยังลูกค้ากลุ่มใหม่ได้
ด้านนายคริสเตียน อัลบริค ซีอีโอทั่วโลกของเจแอลแอล กล่าวว่า การตั้งกองทุนที่มีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ครั้งนี้จะช่วยให้เจแอลแอล สามารถเป็นผู้นำของภาคอสังหาริมทรัพย์ในการทำให้ความคิดสร้างสรรค์ทางเทคโนโลยีที่ดีที่สุดต่างๆ กลายเป็นจริง เป็นการเกื้อหนุน และต่อยอดการลงทุนสูงของเราในด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของเรา รวมจนถึงความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ลูกค้าของเราบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ