บลจ. กสิกรไทย เปิดเผยมุมมองตราสารหนี้ไทยครึ่งปีหลัง คาดอัตราผลตอบแทนทยอยปรับขึ้นแบบ Sideway-Up ตามทิศทางดอกเบี้ยโลก แต่คาดว่าผลกระทบต่อกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวมีค่อนข้างจำกัดและแกว่งตัวเพียงในระยะสั้น พร้อมชูกลยุทธ์ปรับอายุเฉลี่ยตราสารให้สอดคล้องกับตลาดเพื่อมุ่งสร้างผลตอบให้ได้ตามเป้าหมาย
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่าจากแนมโน้มที่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นโดยมีปัจจัยทั้งจากต้นทุนสินค้า และการบริโภค ทำให้อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ ถูกคาดหวังว่าจะปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจังหวะที่เหมาะสมในการปรับขึ้นของแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน และไม่จำเป็นที่จะเกิดขึ้นพร้อม แต่การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปลายปี 2015 เป็นต้นมา จนปัจจุบัน Fed Fund Rate อยู่ที่ระดับ 1.50-1.75% และมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอีก 0.50-0.75% ภายในปีนี้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.50% นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการโอนเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ตลาดเกิดความกังวลต่อการไหลออกของเงินทุนจากตลาดตราสารหนี้ไทย ส่งผลให้เกิดแรงเทขายพันธบัตรรัฐบาลในทุกช่วงอายุ ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนเศษที่ผ่านมา ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวสูงขึ้น และกดดันราคาตราสารหนี้ให้ลดลง และส่งผลกระทบต่อมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนตราสารหนี้ให้ปรับตัวลดลง
“นับจากต้นปี 2018 เป็นต้นมา แม้นักลงทุนต่างประเทศจะลดการถือครองพันธบัตรสกุลเงินบาทของไทยลงเกือบ 3 หมื่นล้านบาท แต่หากพิจารณาเฉพาะพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือมากกว่า 1 ปี กลับมีมูลค่าการถือครองเพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาทเศษ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคาดหวังผลตอบแทนสุทธิจากการลงทุนในพันธบัตรสกุลเงินบาทของไทยพอสมควร” นายชัชชัย กล่าว
นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับมุมมองต่อตลาดตราสารหนี้ไทยในครึ่งปีหลัง บลจ. กสิกรไทย มองว่าตลาดได้มีการรับรู้ถึงปัจจัยดังกล่าวไปค่อนข้างมากแล้ว รวมทั้งที่ผ่านมา ความผันผวนของตลาดตราสารหนี้ไทย และค่าเงินบาทแกว่งตัวในกรอบที่จำกัดกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคมาก จึงคาดว่าการปรับขึ้นของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะเป็นไปในทิศทางค่อยๆ ทยอยปรับขึ้นแบบ Sideway Up ตามทิศทางดอกเบี้ยโลก นอกจากนี้ มองว่าตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจ ด้วยแรงสนับสนุนจากทั้งปัจจัยภายนอกประเทศที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย และปัจจัยภายในประเทศที่ยังคงมีสภาพคล่องส่วนเกินในระบบจำนวนมาก รวมถึงคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินไทยน่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% อีกระยะหนึ่ง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว
นายชัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตการลงทุนของ บลจ. กสิกรไทยนั้น ผู้จัดการกองทุนจะมีการปรับเปลี่ยนดูเรชั่นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และเหมาะสมกับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน โดยกองทุนที่มีดูเรชันน้อยกว่า 1 ปี อาทิ กองทุน K-SFPLUS ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการแกว่งตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าว และผู้ลงทุนควรถืออย่างน้อย 1-2 เดือนขึ้นไป ส่วนกองทุนที่มีดูเรชันเกิน 1 ปี อาทิ กองทุน K-CBOND, K-PLAN1, K-FIXED และ K-FIXEDPLUS อาจได้รับผลกระทบจากการแกว่งตัวของ NAV บ้างในระยะสั้น จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความผันผวนได้และควรลงทุนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน-1 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่คาดว่าน่าจะแกว่งตัวในลักษณะ Sideway-Up ดังกล่าว อาจเป็นโอกาสให้กองทุนปรับเปลี่ยน Duration ให้เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา เพื่อหาผลตอบแทนส่วนเพิ่มเติม (Alpha) จากการลงทุนได้
ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงของกองทุน ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ. กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุน