ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ยังคงโตต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงต้นปี หลังผู้ประกอบการ เล็ก-ใหญ่มั่นใจแนวโน้มตลาดปีจอประกาศเดินหน้าเปิดโครงการใหม่คึกคัก แม้ยอดอุปทานสูงขึ้น แต่ยังไม่ถึงขึ้นต้องหวั่นปัญหาโอเวอร์ซัปพลาย
จากรายงานดัชนีอสังหาริมทรัพย์ DDproperty Property Index ฉบับล่าสุด ซึ่งจัดทำโดย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยภายใต้การบริหารของพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป พบว่านับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 เป็นต้นมา ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มเป็นบวก โดยดัชนีราคามีการปรับเพิ่มขึ้นจาก 205 จุดเป็น 213 จุดในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2561 (1Q61) สอดคล้องกับแนวโน้มการค่อยๆ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่คาดว่าจะมีการขยายตัวของ GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปีนี้ ราวร้อยละ 4.2 ซึ่งถือเป็นการขยายตัวในระดับเต็มศักยภาพ
หนึ่งในปัจจัยที่สนับสนุนการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ นั่นคือ ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ ดัชนีราคาบ้าน-คอนโดฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น ปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 213 ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 ปี อัตราการเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาที่ดินที่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการในปัจจุบันเลือกที่จะพัฒนาโครงการแนวสูงในพื้นที่กรุงเทพฯ ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์นั้นจะไปเปิดตัวอยู่ในโซนกรุงเทพฯ รอบนอก และชานเมืองแทน
นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของกรุงเทพฯ มีความน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น และเป็นหนึ่งในทำเลที่บรรดานักลงทุนอสังหาฯ ให้ความสนใจจากผลตอบแทนการลงทุนที่มีความคุ้มค่า ซึ่งผู้ประกอบการเองก็เล็งเห็นในจุดนี้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะยังเห็นการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ในกรุงเทพฯ แม้แต่ในทำเลที่เราไม่คาดว่าจะยังมีที่เหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้อีกก็ตาม โดยในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ามีบริษัทอสังหาฯ หรือทุนจากต่างชาติ เข้ามาสู่ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ ในรูปแบบของการร่วมทุน (Joint Venture) พัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพในเขตกรุงเทพฯ อยู่หลายรายด้วยกัน โดยโครงการภายใต้การร่วมทุนเหล่านี้ เราจะพบว่าดีเวลอปเปอร์จะให้ความสำคัญกับรายละเอียดของโครงการที่จะพัฒนาในทำเลที่น่าสนใจ และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของตนให้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจ
ในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อศักยภาพของทำเลต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้แก่ การเดินหน้าพัฒนาโครงการระบบสาธารณูปโภคของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างส่วนต่อขยายโครงการรถไฟฟ้าหลากสี ที่จะส่งผลให้มูลค่าที่ดินในพื้นที่นั้นๆ เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
“การที่รัฐบาลเดินหน้าลงทุนในโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายต่างๆ ทำให้เกิดทำเลศักยภาพใหม่ๆ ขึ้นในกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เรายังคงพบว่า จตุจักร ยังคงเป็นเขตที่ดัชนีราคามีการปรับขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 10 และราคามีการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 ในช่วง 3 ปี โดยมีปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยในโซนนี้ถีบตัวสูงขึ้น นั่นคือ การก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่กำลังดำเนินการอยู่นั่นเอง อีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตาก็คือ เขตดินแดง ซึ่งเป็นทำเลที่เชื่อมต่อกับเขตจตุจักร โดยในรอบ 1 ปี ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในเขตดินแดง มีการเติบโตถึงร้อยละ 39”
นอกจากนี้ รายงานดัชนีอสังหาฯ DDproperty Property Index ฉบับล่าสุดยังพบการเพิ่มขึ้นของอุปทาน (Supply) ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปี 2560 ราวร้อยละ 11 สะท้อนให้เห็นถึงการชะลอตัวของอัตราการดูดซับอุปทานในตลาดที่มีทั้งยูนิตคงค้างจากโครงการที่เปิดตัวในช่วงปีที่ผ่านมา รวมไปถึงยูนิตใหม่ๆ ที่ทยอยเข้าสู่ตลาด โดยในช่วงไตรมาส 1 อุปทานคอนโดฯ มีสัดส่วนสูงสุดหรืออยู่ที่ร้อยละ 89 ของอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ซึ่งอสังหาฯ ประเภทดังกล่าวเป็นที่นิยมทั้งในฝั่งผู้ประกอบการที่ต้องเผชิญกับต้นทุนราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นมากในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังเป็นอสังหาฯ ที่ผู้ซื้อในยุคปัจจุบันให้ความสนใจ เนื่องจากตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน
วัฒนา ยังคงเป็นเขตที่มีจำนวนอุปทานคอนโดมิเนียมสูงที่สุด ราวร้อยละ 23 ของอุปทานคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ตามมาด้วยเขตคลองเตย และเขตราชเทวี ส่วนทำเลที่มีอุปทานทาวน์เฮาส์มากที่สุดในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ได้แก่ เขตลาดพร้าว ขณะที่เขตประเวศ มีอุปทานบ้านเดี่ยวมากที่สุด
“หากจะพูดว่า สถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน เป็นจังหวะที่ดีของผู้ที่มีกำลังซื้อคงไม่ผิด ด้วยสินค้าในตลาดที่มีให้เลือกหลากหลาย ขณะที่ผู้ประกอบการเองต่างก็แข่งขันกันออกแคมเปญ และโปรโมชันต่างๆ มาดึงดูดใจผู้ซื้อมากมาย ผนวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบัน และแนวโน้มมูลค่าของอสังหาฯ ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต แม้อุปทานที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีจำนวนค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่ายังไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวลถึงภาวะโอเวอร์ซัปพลายในอนาคตอันใกล้แต่อย่างใด”