“เปรมชัย” ลั่นคุมอำนาจบริหารบมจ.อิตาเลียนไทยฯ ต่อ ย้ำไม่ทำผิดตามข้อกล่าวหาล่าเสือดำ พร้อมปัดข่าวถูกรัฐบาลขึ้นบัญชีดำ หลังถูกดำเนินคดีล่าเสือดำในทุ่งใหญ่นเรศวร พร้อมโวมีแต่คนเข้าใจเห็นอกเห็นใจให้กลับมาตั้งใจทำงาน คาดปีนี้รับรู้รายได้แตะ 1 แสนล้านบาท จากงานในมือ 5 แสนล้านบาท ขณะที่โครงการทวาย จะเริ่มเดินหน้าภายใน 1-2 เดือนนี้ ส่วนเหมืองโปแตซ ที่อุดรธานี สะดุดหลังมีกฎหมายเหมืองแร่ฉบับใหม่
วันนี้ (25 เม.ย.) นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD จำเลยในคดีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี ได้เดินทางมาร่วมประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำประปี 2561 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยบริเวณสะพานลอยข้ามถนนหน้าโรงแรมพบมีผู้ใช้สีเปรย์พ่นข้อความระบุว่า “เสือดำต้องไม่ตายฟรี” ไว้
นายเปรมชัย เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นฯ ถึงกรณีที่ตกเป็นจำเลยในคดีล่าสัตว์ป่ามีผลกระทบและขาดคุณสมบัติการเป็นกรรมการบริษัทหรือไม่ว่า ผมยังดำรงตำแหน่งประธานบริหารต่อไป เพราะผมไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา โดยวันนั้น ผมไปถึงเย็นวันเสาร์ ผมก็ไปนอน ตื่นเช้ามาก็เข้าไปทุ่งใหญ่ และถูกจับในตอนเย็น และโดนกักขัง 2 วันสองคืน ติดต่อใครไม่ได้ เพราะถูกยึดโทรศัพท์ พอออกมา ก็เจอกับนักข่าวเป็นร้อย ส่วนภาพที่ออกมา คิดว่าทางป่าไม้เป็นคนส่งรายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า ระหว่างการประชุมได้มีผู้ถือหุ้นสอบถามถึงคดีของนายเปรมชัย โดยนายเปรมชัย ได้ชี้แจงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์วันนั้น ได้โทร.ไปสอบถามหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีแต่ความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจกลับมา และขอให้ตั้งใจทำงาน
สำหรับกระแสข่าวที่ระบุว่า ITD ถูกขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) นั้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ได้มีการติดต่อหน่วยงาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงลูกค้ารายใหญ่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ไม่พบมีหน่วยงานใดที่ขึ้น Blacklist แต่กลับมีความเข้าใจ และเห็นใจขอให้กลับมาตั้งใจทำงาน ซึ่งผมเองก็พยายามเข้าใจ และเตรียมตัวมากขึ้น และพยายามจะตั้งใจทำงานให้ดีขึ้นกว่าเก่า
ด้านนายไกรศร จิตธรรม ประธานกรรมการตรวจสอบ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กล่าวว่า กรณีทุ่งใหญ่นเรศวร ที่สังคมและสื่อได้ตัดสินว่าผิดไปแล้ว และพยายามจะลงโทษทางใดทางหนึ่ง ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบ หน้าที่หลักของกรรมการ คือ ดูแลผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น สิ่งแรกที่ทำหลังเกิดเหตุ คือ ติดต่อกับผู้บริหารว่า พยายามจะดูผลกระทบการเลิกงานการขึ้นแบล็กลิสต์ การเพิกถอนเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็พยายามหาข้อมูล และติดตามมากที่สุด
“จะบอกว่าไม่ได้รับผลกระทบเลยคงไม่ใช่ เพราะมีเพื่อนสนิทที่เป็นกรรมการ และทำงานเกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อมต้องลาออกไป แต่ผลกระทบการดำเนินโดยตรงคงไม่มี เพราะจากงานที่มีอยู่ในมือ และรอรับรู้รายได้ในอนาคตเกือบ 5 แสนล้านบาท เพียงพอต่อระยะสั้น และระยะกลาง แต่ระยะยาว คือ สิ่งที่บริษัทกำลังเตรียมคนรุ่นใหม่อยู่”
นายเปรมชัย ยังกล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของ ITD ต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นว่า ในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้แตะระดับ 1 แสนล้านบาท จากงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ประมาณ 5 แสนล้านบาท โดยเป็นงานที่เซ็นสัญญาแล้วรวม 3.2 แสนบ้านบาท จากในประเทศ 2 แสนล้านบาท และต่างประเทศ 1.2 แสนล้านบาท ส่วนงานที่รอเซ็นสัญญามีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นงานในประเทศ มีระยะเวลารับรู้ภายใน 3 ปีนี้ ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะอยู่ที่ราว 10% จากปีก่อน 11.9%
บริษัทคาดว่า ในปีนี้จะได้งานใหม่เข้ามาไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีงานใหม่ 8.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากภาครัฐจะมีการทยอยเปิดประมูลงานใหม่จำนวนมาก หลังจากล่าช้ากว่าแผนเดิมในปีก่อน ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 9 เส้นทาง มูลค่ารวมกว่า 4 แสนล้านบาท, โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, โครงการขยายท่าเรือมาบตาพุด และโครงการขยายท่าเรือแหลมฉบัง เป็นต้น
“ปีนี้รายได้เราแตะ 1 แสนล้านบาท เพราะ Backlog เรามี 5 แสนล้านบาทต้องทำให้เสร็จใน 3 ปี หรือ รับรู้รายได้ 1 ใน 3 ส่วนมาร์จิ้นก็ได้ 10% ไม่ควรจะต่ำกว่านั้นเพราะงานออกมาเยอะ แต่ก็จะสูงมากไม่ได้...งานทางยกระดับ งานท่าเรือ เป็นงานที่เราถนัด” นายเปรมชัย กล่าว
ส่วนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งล่าช้ามา 2 ปีนั้น นายเปรมชัย คาดว่าจะเริ่มเดินหน้าได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้ หลังรัฐบาลเมียนมาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาจากออสเตรเลีย เข้ามาดูแลโครงการก่อนจะอนุมัติใบอนุญาตการเช่าใช้ที่ดิน ซึ่งบริษัทจะเช่าที่ดินระยะเวลา 75 ปี ซึ่งบริษัทได้ร่วมกับ บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) ทำการตลาดนิคมอุตสาหกรรมทวาย เบื้องต้น ขายไปแล้ว 300-400 ไร่ และได้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) แล้ว
ในระหว่างนี้รัฐบาลพม่าจะเจรจาใช้เงินกู้จากรัฐบาลไทย วงเงิน 4.5 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสร้างถนนจากบ้านพุร้อนไปยังทวาย คาดว่าจะเซ็นสัญญาเงินกู้ได้ในไตรมาส 3/61 และรัฐบาลพม่าจะเป็นผู้ดำเนินการคัดเลือกผู้รับเหมาสร้างถนนจากไทยในปลายปีนี้ ซึ่งบริษัทก็คาดว่ามีโอกาสได้รับงาน
ขณะที่โครงการเหมืองโปแตชที่ จ.อุดรธานี ต้องชะลอออกไป เพราะรอความชัดเจนหลังมี พ.ร.บ. เหมืองแร่ฉบับใหม่ โดยจะต้องรอว่าต้องทำประชาพิจารณ์ใหม่หรือไม่ ทั้งนี้ บริษัทได้ลงทุนในโครงการนี้แล้ว 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากมูลค่าโครงการทั้งหมด 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย ITD ถืออยู่ 90% และกระทรวงการคลัง ถือหุ้น 10% โดย ITD ได้เจรจาขายหุ้นออกไป 20% ให้กับบริษัทใหญ่สัญชาติไทยแล้ว ทำให้ ITD เหลือถือหุ้นสัดส่วน 70%
ส่วนโครงการเหมืองบอกไซต์ และโรงงานอลูมิน่า ใน สปป.ลาว มูลค่าโครงการ 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังจากหาผู้ร่วมทุนเข้ามาถือหุ้น 35% ขณะที่ ITD ถือหุ้น 50% และภาคเอกชนลาว ถือหุ้น 15% โครงการนี้จะใช้เงินกู้ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจากทุน 150 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย ITD ลงทุนไปแล้ว 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยโครงการนี้มีอัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) สูงกว่า 20% ระยะเวลา 2 ปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในปลายปีนี้
ด้านโครงการ Dhaka Elevated Expressway หรือทางด่วนยกระดับที่ประเทศบังคลาเทศ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัมปทาน 30 ปี โดย ITD จะตัดขายหุ้นออกไป 49% เหลือถือหุ้น 51% ซึ่งบริษัทลงเงินทุนไปแล้ว 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าจะเริ่มงานในปลายปีนี้ และงานก่อสร้างรถไฟฟ้าที่เมืองดักการ์ 4 สัญญา รวมมูลค่าโครงการ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เริ่มงานก่อสร้างแล้วไปแล้ว 3% มีระยะเวลา 3 ปี
นายเปรมชัย ยังกล่าวถึงโครงการก่อสร้างบริหารจัดการท่าเรือและทางรถไฟในสาธารณรัฐโมซัมบิก มูลค่าโครงการ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดว่าจะทำสัญญากับรัฐบาลโมซัมบิกปลายปีนี้ และเริ่มก่อสร้างปีหน้า มีระยะเวลา 5 ปีในการก่อสร้าง ระหว่างนี้รัฐบาลโมซัมบิกให้บริษัทเข้าไปดำเนินโครงการได้โดยใช้เส้นทางรถไฟเดิมไปก่อน ขณะที่บริษัทกำลังจะเซ็นสัญญากับลูกค้าผู้ใช้บริการหลักจากสวิสเซอร์แลนด์ และอินเดีย
นอกจากนี้ ITD อยู่ระหว่างเจรจาขายหุ้นโครงการดังกล่าวให้กับพันธมิตร 4 รายในสัดส่วน 20% ทำให้ ITD เหลือการถือหุ้นสัดส่วน 40% ส่วนที่เหลือรัฐบาลโมซัมบิกถือ 20% และเอกชนในประเทศอีก 20% ทั้งนี้ ITD ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเตรียมขอเงินกู้จากจีน
“โครงการในต่างประเทศ เรามีกำไรมากจาการถือหุ้นใหญ่ คาดว่าจะมีอัตรากำไรสุทธิ 10-15% จากงานก่อสร้าง ส่วนงานที่เรา Operate จะได้ IRR มากกว่า 15%”