xs
xsm
sm
md
lg

“ซี.ไอ.ที.” รุกตลาดนวัตกรรม-เทคโนโลยีสุขภัณฑ์ตั้งเป้า 3 ปี รายได้แตะ 500 ล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

KUDOS
“KUDOS” ปรับยุทธศาสตร์ดำเนินธุรกิจ รับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงตลาดยุคดิจิทัล เน้นทำตลาดสินค้านวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยดีไชน์ผสมผสานเทคโนโลยี ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ายุคดิจิทัล ล่าสุดจับมือ อิกลูโฮม สตาร์ทอัปสิงคโปร์ ขยายไลน์สินค้ากลุ่มอินโนเวชัน-ยูนิเวอร์แซล นำเข้าผลิตภัณฑ์ล็อกประตูดิจิทัล เจาะตลาดที่อยู่อาศัย โรงแรม และออฟฟิศใหม่ ในประเทศไทย และกลุ่มประเทศอาเซียน ตั้งเป้า 2 ปี ยอดขายกลุ่มอินโนเวชัน และล็อกดิจิทัล 10,000 ชุด มูลค่ากว่า100 ล้านบาท กางแผนระยะยาว 3 ปี ยอดขายแตะ 500 ล้านบาท

นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์สุขภัณฑ์ห้องน้ำ แบรนด์ “KUDOS” กล่าวว่า ได้ปรับยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อรองรับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง และการเปลี่ยนแปลงของตลาดในยุคดิจิทัล โดยเน้นให้น้ำหนักกับการที่ทำตลาดในกลุ่มสินค้านวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยดีไชน์ผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงการให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าเป็นหลัก และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการตลาดกลุ่มสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยี จึงได้จับมือกับ บริษัท อิกลูโฮม จำกัด สตาร์ทอัปจากสิงคโปร์ เพื่อขยายไลน์สินค้าในกลุ่มอินโนเวชัน และยูนิเวอร์แซล นำเข้าผลิตภัณฑ์ล็อกประตูดิจิทัล จากอิกลูโฮม มาจำหน่ายในประเทศไทย และกลุ่มประเทศอาเซียน โดยตั้งเป้าในระยะ 2 ปีจากนี้ จะมียอดขายจากกลุ่มสินค้าดังกล่าว 10,000 ชุด คิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นเจาะเข้าสู่ตลาด ออฟฟิศ โรงแรม และที่อยู่อาศัยเป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ ในกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีค่าอัตราการขยายตัวดีมาก โดยในปี 60 ที่ผ่านมา กลุ่มสินค้าดังกล่าวมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 200% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ทั่วไป ยังทรงตัวจากปี 59 โดยในปี 61 บริษัทจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ใน 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ กลุ่มก๊อกน้ำ, ฝักบัว, กลุ่มผลิตภัณฑ์, ยูนิเวอร์แซล และกลุ่มอินโนเวชัน ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันยอดขายของบริษัทให้ขยายตัวได้ดีกว่าตลาดรวมสุขภัณฑ์ในปีนี้

สำหรับภาพรวมตลาดสุขภัณฑ์ห้องน้ำ คาดว่ามีมูลค่ารวมประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท โดย KUDOS มีแชร์อยู่ในตลาดโมเดิร์นเทรดประมาณ 3-5% และในปี 61 คาดว่าตลาดรวมจะขยายตัวประมาณ 5% เป็นผลมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อ และความเชื่อมั่นของลูกค้า และที่สำคัญ คือ การขยายตัวจากดีมานด์ของโครงการใหม่ ๆ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าปี 61 จะมียอดขายรวมที่ 320 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ที่มียอดขาย 280 ล้านบาท 15-20% โดยยอดขายดังกล่าวจะมาจาก 3 ช่องทางหลัก ๆ คือ การขายผ่านโครงการ 20% การขายตรงถึงลูกค้า 10% การขายผ่านร้านค้า และสาขาในโมเดิร์นเทรด 70%

“โอกาสของสินค้าในกลุ่มนวัตกรรมและอินโนเวชัน ในปีนี้ คือ ตลาดโครงการเปิดตัวใหม่ ซึ่งข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าในปีนี้จะมียูนิตเกิดใหม่ทั้งประเทศประมาณ 100,000 ยูนิต แบ่งเป็นยูนิตใหม่ใน กทม. 55% และยูนิตใหม่ในต่างจังหวัด 45% โดยในจำนวนนี้เป็นคอนโด 60,000 ยูนิต และ 40,000 ยูนิต เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ”

อย่างไรก็ตาม ในอนาคต บริษัทจะพยายามเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านโครงการ และลูกค้าโดยตรงให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดสัดส่วนยอดขายที่มาจากการขายผ่านร้านค้า และสาขาให้ลงมาอยู่ใน 50% นอกจากนี้ บริษัท ได้ตั้งเป้าว่าในอีก 3 ปีจากนี้ จะมียอดขายจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากปัจจุบันมีอยู่ 5% หรือในปี 63 บริษัทจะมียอดขายรวม 500 ล้านบาท ซึ่งยอดขายดังกล่าวจะมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ ในกลุ่มนวัตกรรมและอินโนเวชัน และการขยายสาขาในประเทศ และต่างประเทศ โดยในต่างประเทศนั้น จะเป็นการเปิดสาขาใหม่ ๆ ในโมเดิร์เทรดของโฮมโปร ซึ่งมีอยู่แผนจะลงทุนขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในระยะ 3 ปีจากนี้ อีกกว่า 20 สาขา


กำลังโหลดความคิดเห็น