บลจ. ทาลิส คาดกรอบ SET ปี 61 สูงสุด 1,900 จุด แม้ช่วงนี้ปรับฐานตามตลาดหุ้นโลกจากวิตกสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ทาลิส (TALISAM) เปิดเผยว่า บลจ. ทาลิสคาดการณ์กรอบดัชนีหุ้นไทยในปี 2561 อยู่ที่ประมาณ 1,700-1,900 จุด ถือเป็นการประเมินกรอบการปรับตัวของดัชนีที่กว้าง เนื่องจากในปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวกว่า 200 จุด และใน 4 ปีก่อนหน้า ปรับตัวประมาณกว่า 300 จุด จึงคาดการณ์ว่าในปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวประมาณ 250-300 จุด ซึ่งถือเป็นกรอบการปรับตัวในสถานะที่ปกติของตลาดหุ้นไทยที่จะปรับตัวประมาณ 20%
สำหรับการปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก ยังคงมีปัจจัยภายนอกที่เข้ามารบกวนทั้งเรื่องของสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มปรับฐานมาตั้งแต่เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยเป็นระยะเวลา 2 เดือนมาแล้ว ซึ่งปกติธรรมชาติของตลาดหุ้นหากปรับตัวขึ้นมาจากการปรับฐานนั้น ก็จะกินระยะเวลาประมาณ 3-6 เดือน ดังนั้น แนวโน้มการปรับตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะจากนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงของการปรับฐานบวก-ลบ ดัชนีที่ประมาณ 1,800 จุด
นายประภาส กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่สภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน และปรับฐานอยู่ขณะนี้ แนะนำลงทุนในกองทุนประเภทหุ้นปันผล ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อย และเหมาะกับช่วงสถานการณ์ที่บริษัทต่าง ๆ มีการจ่ายเงินปันผลออกมาของรอบผลประกอบการปี 2560 โดยอยู่ในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน-พฤษภาคมเป็นต้นไป
“ด้านความกังวลเรื่องสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน ท้ายที่สุดจะเป็นเพียงกลยุทธ์ในการเจรจาต่อกัน ส่วนเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ยุโรป และไทย ที่ผ่านมามีการปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ และมีการประมาณการในอนาคตว่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน หากดูตัวอย่างย้อนหลังไปประมาณ 2 ปีของประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ในปี 2015 มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นมา 6 ครั้ง ในด้านของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็มีการปรับขึ้นมาประมาณ 30% ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 30% เช่นเดียวกัน” นายประภาส กล่าว
ในส่วนของการปรับดอกเบี้ยทั้งของสหรัฐอเมริกา และทั้งโลก ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และคาดว่าจะมีการทยอยปรับขึ้นอีก โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย คาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะเวลาอย่างเร็ว น่าจะเป็นช่วงสิ้นปี 2561 หรือในปีหน้า ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (Money market fund) ก็จะมีความปลอดภัยมากกว่า เพราะหากเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นการลงทุนในตราสารหนี้แบบยาว ก็จะมีความเสี่ยงที่ตัวราคาตราสารหนี้ต่าง ๆ ที่อาจจะปรับตัวลดลง เพราะดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ฉะนั้น กลยุทธ์การจัดสรรเงินลงทุนแบ่งเป็น สินทรัพย์ในหุ้น 50% ตราสารหนี้ระยะสั้น 50% หากผู้ลงทุนมองในระยะเวลา 3 ปี หรือ 5 ปี และรับความเสี่ยงได้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดี
“คาดว่าในปีนี้สหรัฐอเมริกาจะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้ง ในปีหน้าอีก 3 ครั้ง และในปี 2020 อีก 2 ครั้ง ซึ่งรวม ๆ กันแล้ว ประมาณ 7 ครั้ง ซึ่งถือเป็นสัญญาณว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาน่าจะอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อไป ดังนั้น สภาพเศรษฐกิจที่ดี ตลาดหุ้นอาจจะมีการผันผวนบ้าง แต่ว่าเทรนด์ในระยะยาวก็ยังมองว่าเป็นช่วงขาขึ้นอยู่เช่นกัน” นายประภาส กล่าว