xs
xsm
sm
md
lg

“บล.โกลเบล็ก” มองหุ้นไทยหวั่นเกิดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บล. โกลเบล็ก จับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ หลังสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย Taiwan Travel Act และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่จะมีการประชุมในเดือนีนาคมนี้ ให้กรอบ ดัชนี 1,775-1,825 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไร หุ้น TOP, M, BCPG ได้อานิสงส์เข้าคำนวณ FTSE ด้านราคาทองคำ จับตาทองหลุด 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นจังหวะซื้อกลับ

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้เริ่มมีความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ มากขึ้น หลังสหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย Taiwan Travel Act ที่เปิดทางให้สหรัฐฯ สามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปยังไต้หวัน และเจ้าหน้าที่ไต้หวันเดินทางมาพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ได้ ซึ่งอาจเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน เนื่องจากถือเป็นการละเมิดนโยบายจีนเดียว และละเมิดต่อแถลงการณ์ร่วมที่จีน และสหรัฐฯ เคยประกาศร่วมกัน

ก่อนหน้านี้ ยังมีประเด็นที่น่ากังวลว่า สงครามการค้าระหว่างจีน และสหรัฐฯ อาจลุกลามจากการที่สหรัฐฯ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศโทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีน เพื่อตอบโต้การค้าที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรม เนื่องจากในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 16.7% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2558 ขณะที่การส่งออกสินค้าสหรัฐฯ ไปยังจีนลดลง 28.1% นำเข้าเพิ่มขึ้น 2.9%

นอกจากนี้ การคาดการณ์ว่า ที่ประชุม Fed จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนมีนาคมนี้ โดยเครื่องมือ Fed Watch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นครั้งแรกในปีนี้ และเม็ดเงินการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เดือนย้อนหลัง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท

ส่วนปัจจัยบวกที่น่าสนใจ คือ การประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือน ก.พ. ของกลุ่มประเทศยูโรโซน ชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.1% เมื่อเทียบรายปี ทำให้แรงกดดันในการถอนมาตรการ QE ของธนาคารยุโรป (ECB) ลดลง และคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบนี้ ส่วนราคาน้ำมันทรงตัวที่ระดับสูงส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน

สำหรับปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาต่อในวันที่ 20-21 มี.ค. กำหนดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 22 มี.ค. สนช. พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 61 วงเงิน 1.5 แสน ลบ. และในวันเดียวกัน อียู เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคการบริการเบื้องต้น เดือน มี.ค. ด้านธนาคารกลางอังกฤษมีกำหนดประชุมนโยบายการเงิน และแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐฯ จะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคการบริการเบื้องต้น มี.ค. ขณะที่วันที่ 23 มี.ค. จับตาชัตดาวน์สหรัฐฯ

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในรอบสัปดาห์ คาดว่าจะมีทิศทางอ่อนตัวลงได้ และคงต้องจับตาว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามตลาดคาดหรือไม่ โดยคาดดัชนี SET ผันผวนในกรอบ 1,775-1,825 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไร หุ้นที่มีปัจจัยบวก เช่น หุ้น TOP, M, BCPG ได้อานิสงส์จากการเข้าคำนวณ FTSE แต่ยัง laggard รองลงมาหุ้น CPF, GFPT, TFG ได้ประโยชน์จากการที่จีนรับรองมาตรฐานโรงงานผลิตไก่ไทย และหุ้น ERW ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง และแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากโรงแรมในไทย และลูกค้าหลักได้แก่ลูกค้าคนไทย และลูกค้าชาวจีน

ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับทิศทางราคาทองในสัปดาห์นี้ยังคงกังวลว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% เป็น 1.75% โดยแถลงการณ์หลังการประชุม FOMC ของประธานคนใหม่จะช่วยยืนยันความเร็วในการปรับดอกเบี้ยครั้งต่อไปได้ หลังจากที่เคยกล่าวกับที่ประชุมสภาฯมาก่อนหน้านี้ว่าจะยังคงปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป
 
จึงคาดว่า bond yield สหรัฐฯ จะปรับขึ้นแค่ช่วงสั้น เช่นเดียวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มจะรีบาวนด์ขึ้นแข็งค่ามากกว่าจะกลับทิศทางเป็นแข็งค่าในระยะยาว ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสจะหลุดกรอบรูป descending triangle ได้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งมุมมองทางเทคนิคหากราคาหลุด 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะลงไปทดสอบบริเวณ 1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ถ้าราคายืนไม่หลุด 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าการแกว่งตัวจะเป็นแบบ sideway ไปอีกสักระยะ จึงแนะนำลยุทธ์เล่นสั้นให้รอจังหวะ follow short เมื่อราคาหลุดระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ trading long เมื่อราคาอยู่เหนือระดับ 1,325 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนพอร์ตระยะกลางถึงยาวเริ่มทยอยรับเมื่อราคาร่วงลงมาที่ระดบ 1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ


กำลังโหลดความคิดเห็น