xs
xsm
sm
md
lg

ส่องพื้นที่ศักยภาพ ปิดการขายคอนโดฯ ได้เร็ว อึ้ง โซนรัชดาฯ เพียง 1 เดือนเท่านั้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


พลัสฯ คาดการณ์ทิศทางคอนโดมิเนียมปี 2561 เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน หลังพบหลายโซนคาดการณ์ว่าจะปิดการขายได้เร็วกว่าค่าเฉลี่ย และยังมีดีมานด์ตอบรับสูง โดยเฉพาะโซนกรุงเทพฯ ชั้นใน เพลินจิต-ชิดลม สีลม-สาทร สุขุมวิทชั้นใน พบคอนโดฯ ระดับราคา 1.6-4 แสนบาทต่อ ตร.ม. มีแนวโน้มปิดการขายได้ใน 3-4.5 เดือน โซนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง พหลโยธิน-พญาไท-พระราม 3-รัชดา คอนโดฯ ระดับราคา 1.3-1.6 แสนบาทต่อ ตร.ม. มีแนวโน้มปิดการขายได้เพียง 1 เดือน โซนชั้นนอกช่วงสุขุมวิทรอบนอก ราคา 1.3-2 แสนบาทต่อ ตร.ม. คาดจะสามารถขายหมดภายใน 5-6 เดือน

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีแรก 2561 (ม.ค.-มิ.ย.) คาดว่าตลาดจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ส่งผลให้เกิดการลงทุนในฝั่งผู้ประกอบการทั้งชาวไทย และต่างชาติ อีกทั้งในอนาคต ยังมีการปรับผังเมืองในกรุงเทพฯ ที่ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้ปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้เกิดอุปทาน (ซัปพลาย) ใหม่ในตลาด จึงเป็นสัญญาณที่ดีของภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยในอนาคตคาดว่าจะเกิดโครงการคอนโดมิเนียมในรูปแบบใหม่ เช่น โครงการมิกซ์ยูส, คอนโดมิเนียมสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้กับโครงการอีกด้วย

แต่เมื่อพิจารณาตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังเติบโตอย่างน่าสนใจ แม้จะมีบางทำเลที่มีผู้ประกอบการเข้าไปแข่งขันกันค่อนข้างมาก จนทำให้การดูดซับเริ่มทรงตัว แต่หากย้อนไปในปี 2560 ที่ผ่านมา พบว่าจากอุปทานเสนอขายห้องชุด จำนวน 121,291 ยูนิต อุปสงค์ (ดีมานด์) ให้การตอบรับแล้ว 68,228 ยูนิต ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น 13% หรือเพิ่มขึ้น 9,228 ยูนิตจากปีก่อน ซึ่งยอดขายได้ในรอบนี้ปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกช่วงราคา มาจากทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มลดลง

สำหรับสถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมช่วงครึ่งปีหลัง 2560 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน โซนเพลินจิต-ชิดลม-สีลม-สาทร-สุขุมวิท มีจำนวนทั้งสิ้น 11,148 ยูนิต มีอัตราการดูดซับ 45% ยังมีการตอบรับสูง โดยโครงการที่มีอุปสงค์อยู่ในระดับสูงจะเป็นโครงการในช่วงระดับราคากลาง-บน ราคาขายเฉลี่ย 130,000-160,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งมีแนวโน้มอัตราการดูดซับดี โดยในทำเลสุขุมวิท พบว่า โครงการระดับราคา 160,000-400,000 บาทต่อ ตร.ม. ประเมินว่าจะสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาเพียง 3-4.5 เดือน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยที่ 5.5 เดือน เนื่องจากในทำเลดังกล่าวเหลือพื้นที่พัฒนาโครงการไม่มาก แต่ยังมีความต้องการซื้อสูง โครงการในระดับราคาดังกล่าวที่เข้าสู่ตลาดจึงได้รับการตอบรับที่ดี

สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลาง โซนพหลโยธิน-พญาไท-พระราม 3-รัชดา มีจำนวนทั้งสิ้น 17,878 ยูนิต มีอัตราการดูดซับ 47% พบอุปสงค์ส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับกลาง ราคา 70,000-160,000 บาทต่อ ตร.ม. ซึ่งคอนโดมิเนียมในโซนกรุงเทพฯ ชั้นกลาง ประเมินว่าจะใช้เวลาเฉลี่ยปิดการขายภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยทำเลพหลโยธิน พบว่าคอนโดมิเนียมที่มีอุปสงค์สูงจะเป็นโครงการในช่วงระดับราคา 130,000-200,000 บาทต่อตร.ม.

ส่วนคอนโดมิเนียมย่านรัชดาภิเษก โครงการที่มีอุปสงค์สูงจะอยู่ในช่วงราคา 100,000-160,000 บาทต่อ ตร.ม. แต่โครงการระดับกลาง-บน ในราคา 130,000-160,000 บาทต่อ ตร.ม. พบว่าเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากเป็นโครงการที่อยู่บริเวณตามแนวรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล ที่จะมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มเติมตัดเชื่อมผ่านสถานีศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ และยังอยู่ในทำเลศักยภาพที่มีทั้งศูนย์การค้า อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ และในอนาคตจะมีอาคารสูงที่คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของประเทศ จึงมีความต้องการซื้อทั้งเพื่ออยู่เอง และเพื่อการลงทุน โครงการในระดับราคาดังกล่าวจึงมีดีมานด์ตอบรับดี จากการประเมินจะสามารถขายหมดได้เร็วกว่าค่าเฉลี่ย คือ สามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้น

สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ธนบุรี-สุขุมวิทรอบนอก-บางซื่อ-มีนบุรี-นนทบุรี-พระราม 2-รามคำแหง-สุวรรณภูมิ มีจำนวนทั้งสิ้น 18,062 ยูนิต มีอัตราการดูดซับ 43% โดยโซนสุขุมวิทรอบนอก พบว่ามีอุปสงค์ตอบรับในโครงการระดับกลาง คือ ระดับราคา 50,000-100,000 บาทต่อ ตร.ม. แต่หากดูจากข้อมูลประเมินจำนวนเดือนที่ควรจะขายหมด พบว่าคอนโดมิเนียมในโครงการระดับกลาง-บนราคา 130,000-200,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากทำเลสุขุมวิทรอบนอกกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง และศักยภาพแต่ละโซนแตกต่างกัน จึงมีโครงการที่ครอบคลุมหลายระดับราคา โดยโครงการที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายยังมีจำนวนไม่มาก และค่อนข้างกระจุกตัว จึงสามารถทำราคาได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาด ซึ่งมีดีมานด์ตอบรับสูงเช่นกัน ทำให้มีแนวโน้มปิดการขายหมดได้เร็วกว่าอัตราประเมิน คือ น่าจะสามารถขายหมดภายใน 5-6 เดือน จากอัตราเฉลี่ย 7 เดือน

สำหรับยอดขายคอนโดมิเนียมของพลัสฯ ในปี 2560 ที่ผ่านมา มีมูลค่ายอดขายรวม 21,250 ล้านบาท เติบโต 7% จากปี 2559 ที่ 19,890 บาท ส่วนใหญ่มาจากคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บน (ราคา 3-7 ล้านบาท) มีอุปสงค์ตอบรับที่ดี โดยโครงการที่เป็นห้องรูปแบบ 1 ห้องนอน มีสัดส่วนขายได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 69% ในปี 2558 เป็น 87% ในปี 2560 ซึ่งทำเลที่ขายได้ดี คือ โซนสุขุมวิทตอนต้น-ตอนกลาง (เพลินจิต-เอกมัย) สุขุมวิทตอนปลาย (พระโขนง-บางนา) พหลโยธิน และรัชดาภิเษก ตามลำดับ


กำลังโหลดความคิดเห็น