ผู้บริหาร “ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้” มั่นใจผลงานปี 61 โตก้าวกระโดด อานิสงส์ออเดอร์ไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย-รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าเข้ามาเต็มปี ด้านบอร์ดไฟเขียว จ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.04 บาทต่อหุ้น ผู้ถือหุ้นเตรียมรับเงินเข้ากระเป๋าวันที่ 25 พ.ค. นี้
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาในปีนี้ 2560 (มกราคม-ธันวาคม 2560) บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 2,051.18 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 204.23 ล้านบาท โดยสาเหตุที่ทำให้ผลการดำเนินงานอ่อนตัวเล็กน้อย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปี 2561 ค่าเงินบาท ไม่น่าจะแข็งค่ามากเท่ากับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯมีมติจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.04 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD และ XM วันที่ 14 มี.ค. 61 กำหนดจ่ายในวันที่ 25 พ.ค. 61
“แนวโน้มผลงานในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยได้รับปัจจัยหนุนจากออเดอร์สินค้าสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคำสั่งซื้อชิ้นส่วนของรถยนต์มาสด้า จากออสเตรเลีย ที่เริ่มส่งมอบในปีนี้ ขณะเดียวกัน ในปีนี้ FPI จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ (MW) ใน จ.นราธิวาส เข้ามาเต็มปี หลังจากเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) เมื่อปลายเดือน มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา” นายสมพล กล่าว
ส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศอินเดีย ของ ALP FPI PARTS PRIVATE LIMITED ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 45% นั้น ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการผลิตแล้ว ก็จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในปีนี้ รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 1 เมกะวัตต์ ใน อ.ลอง จ.แพร่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีระบบผลิตก๊าซเชื้อเพลิงจากชีวมวล (Gasification) จะเริ่ม COD ต้นเดือน เม.ย. 61 มีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) สูงถึง 36-38% มากกว่า IRR จากโรงไฟฟ้าชีวมวลทั่วไปที่อยู่ระดับ 17-18%
นายสมพล กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ในตลาดโลก ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เช่น ในออสเตรเลีย และยุโรป ที่มีมาร์จิ้นสูง โดยเฉพาะออสเตรเลีย ซึ่งเป็นโอกาสของคนไทยจะที่ผลิตสินค้าป้อนให้กับตลาดออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เพราะไทยได้มีการเซ็นสัญญา FTA ระหว่างกัน ส่วนค่ายยุโรปก็มองหาฐานผลิตในไทย, ไต้หวัน, จีน ส่วนตลาดเอเชียตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้ ยังอยู่ในระดับที่ดี แต่ตลาดแอฟริกายังคงแย่ต่อเนื่องจากภาวะสงคราม และค่าเงิน ตลอดจนกฎระเบียบต่าง ๆ ทำให้การนำเข้าชะลอตัวลง ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทมีตลาดส่งออกหลักในซาอุดิอาระเบีย, อังกฤษ และปีนี้จะส่งออกไปยังออสเตรเลียมากขึ้น หลังได้คำสั่งซื้อใหม่เข้ามา โดยปัจจุบันมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยส่งมอบต่อไป