ประธานบอร์ด พัฒน์กล เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้กว่า 2,277 ล้านบาท และกำไรกว่า 112 ล้านบาท พร้อมวางแผนลุย AEC ให้ครบทุกประเทศภายใน 3 ปี และปรับสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 50:50 ภายใน 5 ปี
นางแสงชัย โชติช่วงชัชวาล ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. พัฒน์กล หรือ PK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประเมินว่า รายได้ปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ หรือเติบโตใกล้เคียง 4,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ อยู่ที่ 3,738 ล้านบาท และครึ่งปีแรกมีรายได้แล้วที่ 2,277 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของธุรกิจเครื่องทำน้ำแข็ง และระบบอุตสาหกรรมความเย็น, เครื่องจักรระบบผลิตภัณฑ์เหลวและแปรรูปอาหาร รวมถึงงานบริการและอะไหล่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
“เราคาดรายได้ปีนี้จะเติบโตแตะ 4,000 ล้านบาท จากการเติบโตของทุกธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ขณะที่ปีหน้าเราจะสร้างแวลูให้กับผลิตภัณฑ์ และขยายโปรดักต์ให้มากขึ้น ซึ่งเราตั้งเป้าที่จะมีรายได้เติบโตเฉลี่ยต่อปีไม่ต่ำกว่า 6%”
ทั้งนี้ มองแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังนี้น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 90% โดยบริษัทฯ มีการสต๊อกเหล็กไว้แล้ว 30% ของงานที่มีอยู่ในมือ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของราคาเหล็กที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน จำนวน 200-300 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินแปลงใหม่ พื้นที่กว่า 10 ไร่ ในการก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องระบายความร้อนของระบบทำความเย็น (Evaportive Condenser) และการลงทุนในด้านเครื่องจักรใหม่ในโรงงานผลิตที่ จ. เพชรบุรี ซึ่งจะดำเนินการภายใต้บริษัทย่อย หรือบริษัท ฮีทอะเวย์ จำกัด ที่บริษัทฯ ถือหุ้น 100% คาดว่าจะซื้อที่ดินได้ภายในปีนี้ และน่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2561 ซึ่งจะส่งทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขี้น 5-10% จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตเต็ม 100% แล้ว โดยตั้งเป้าหมายจะมีรายได้ภายใน 5 ปี เติบโตเป็น 500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเครื่องมือทางการเงินที่จะนำมาใช้นั้น บริษัทจะใช้แหล่งเงินลงทุนจากเงินสดหมุนเวียนที่มีในมือ และบางส่วนจากสินเชื่อสถาบันทางการเงิน จากปัจจุบันที่มีหนี้สินต่อทุน หรือ D/E อยู่ที่ 1.4 เท่า จากระดับที่บริษัทสามารถบริหารได้ถึง 2.0 เท่า
สำหรับที่ดินพื้นที่ 20 ไร่ ที่ จ. ฉะเชิงเทรา ที่ก่อนหน้านี้ซื้อไว้เพื่อก่อสร้างโรงงานดังกล่าวข้างต้นนั้น ปัจจุบันนั้น ติดปัญหาคาบเกี่ยวกับ ส.ป.ก. ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณาขายที่ดิน โดยอยู่ระหว่างรอจังหวะและราคาที่เหมาะสมต่อไป
ขณะเดียวกัน ในส่วนการขยายตลาดไปยังแถบภูมิภาคอาเซียน โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ก็มีการจัดตั้งบริษัท และเปิดสำนักงานในทุกประเทศในแถบภูมิภาคอาเซียนทั้งในฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, พม่า และเวียดนาม ซึ่งต่อจากนี้ไป บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการขยายโปรดักต์ให้มากขึ้น โดยให้ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจที่มีอยู่ 4 กลุ่ม จากเดิมที่มีโปรดักต์เพียง 1-2 ผลิตภัณฑ์ใน 1 ประเทศเท่านั้น
ขณะที่การลงทุนในประเทศอินโดนีเชียที่มีความล่าช้า เป็นผลมาจากประสบปัญหาเรื่องของเสถียรภาพทางการเมือง ทำให้บริษัทฯ มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาปรับแผนการลงทุน โดยจากเดิมที่จะลงทุนเอง เป็นการหาพันธมิตรที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกัน เพื่อลงทุนร่วมกัน แต่ยังไม่เห็นความชัดเจนในขณะนี้
พร้อมกันนี้ นอกจากในประเทศอาเซียนแล้ว บริษัทฯ ยังมองโอกาสขยายการลงทุนไปยังนอกกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย โดยเป็นลักษณะของการขายผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้ แต่ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 50% ใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20% นอกจากนี้ บริษัทฯ ประเมินว่าจะมีการจ่ายปันผลในปีนี้ จากปีก่อนจ่ายปันผลจำนวน 0.80 สตาร์ต่อหุ้น เนื่องจากปีนี้น่าจะมีกำไรสุทธิดีกว่าปีก่อน