ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ มั่นใจครึ่งปีหลัง ธุรกิจอาหารสัตว์ปรับตัวคึกคัก พร้อมปรับกลยุทธ์เน้นอาหารคุณภาพเกรดพรีเมียม ขยายฐานลูกค้าใหม่ และรักษาฐานลูกค้าเดิม หนุนยอดขายปีนี้มากกว่า 1,800 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20% ด้าน CFO “สุวิทย์ วรรณะศิริสุข” เดินเกมปรับกลยุทธ์ศึกษาแผนขยายตลาดในต่างประเทศ หวังดันยอดขายในอนาคตเพิ่ม พร้อมเดินหน้าลงทุนธุรกิจพลังงาน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ และพลังงานลม เต็มกำลัง มั่นใจสิ้นปี 60 มีกำลังผลิตตามเป้า 23 เมกะวัตต์
นายสุวิทย์ วรรณะศิริสุข ผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน บริษัท ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TLUXE ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ ตลอดจนดำเนินธุรกิจโรงผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้จากยอดขายในปี 2560 ไว้ที่ระดับ 1,800 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มอุตสาหกรรมธุรกิจอาหารสัตว์มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น โดยจะเห็นได้จากภาพรวมอุตสาหกรรมกุ้งในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง ในช่วงเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน 2560 ปริมาณผลผลิตกุ้งเพิ่มมากขึ้น และพื้นที่การเลี้ยงจริงเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2560 คิดเป็นร้อยละ 70 ของพื้นที่ทั้งหมด
ขณะที่การแข่งขันของผู้ค้าปัจจัยในอุตสาหกรรมกุ้งค่อนข้างสูง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการเลี้ยงเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ได้แก่ ลูกพันธุ์กุ้ง และอาหารกุ้ง ดังนั้น บริษัทจึงปรับแนวทางการตลาดโดยเน้นอาหารเกรดพรีเมียม โปรตีนสูง 42-45% ที่มีคุณสมบัติเร่งการเจริญเติบโต และลดระยะเวลาการเลี้ยง ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า พร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง
“บริษัทฯ ได้กำหนดนโยบาย โดยเน้นเรื่องคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก และให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ตรวจสุขภาพกุ้งพร้อมให้คำปรึกษา ตลอดจนความรู้ทางวิชาการ เพื่อให้ลูกค้าตัวแทนจำหน่าย และ เกษตรกรผู้เลี้ยงโดยตรง ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นเลิศ นอกจากนี้ ยังจะเน้นทำการตลาดผ่าน social media ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงมากขึ้น” นายสุวิทย์ กล่าว
พร้อมกันนี้ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมปลาในช่วงไตรมาส 3/2560 ว่า สถานการณ์โดยรวมปรับตัวดีขึ้น การทำตลาดอาหารปลามีการแข่งขันที่สูงขึ้นทั้งทางด้านคุณภาพ และราคา ดังนั้น เพื่อให้สามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด เรายังคงเน้นผลักดันฐานลูกค้ารายหลักทั้งรายใหม่ และรายเดิม มีการเพิ่มลูกบ่อ การขยายตลาดปลาให้กับลูกค้า รวมถึงขยายการทำตลาดในกลุ่มอาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง โดยเฉพาะในพื้นที่การเพาะเลี้ยงหลัก จังหวัดฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ และขยายไปยังพื้นที่การเพาะเลี้ยงในเขตภาคใต้ อาทิ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร เพื่อเป็นการขยายฐานตลาดในกลุ่มสินค้าเกรดพรีเมียม และสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้มีการขยายยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังผลิตอาหารกุ้งที่ 80,400 ตัน และอาหารปลาที่ 61,000 ตัน โดยมีการขยายตลาดอาหารปลาไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และประเทศมาเลเซีย ซึ่งมียอดส่งออกประมาณ 20%
“นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ต่อการลงทุนในลักษณะการตั้งศูนย์กระจายสินค้า หลังมองแนวโน้มการเติบโต เนื่องจากมีลูกค้าบางราย (ดีลเลอร์) สั่งซื้อสินค้าของบริษัทฯ ไปจำหน่ายเอง ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) อาหารสัตว์น้ำ ประมาณ 10% ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน” นายสุวิทย์ กล่าว
ผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน TLUXE กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง บริษัทฯ ยังคงรับออเดอร์การผลิตอย่างต่อเนื่องในรูปแบบการรับจ้างผลิต (OEM) โดยสามารถรองรับปริมาณการผลิตได้ทั้งโรงงานที่จังหวัดเพชรบุรี และโรงงานจังหวัดสงขลา
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงแนวโน้มของธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่เติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-15% ตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของคนในสังคม โดยเฉพาะธุรกิจบริการสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น โรงพยาบาลสัตว์ ศูนย์ดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงครบวงจร บริการสปา คาเฟ่ และโรงแรมสำหรับสัตว์เลี้ยง ศูนย์ฝึก ศูนย์รับฝาก รวมไปถึงธุรกิจประกันภัย Pet Insurance เป็นต้น ดังนั้น บริษัทฯ ได้ศึกษาแผนการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจสัตว์เลี้ยงอย่างเต็มตัวในโครงการ Pet Center แบบครบวงจร เพื่อเป็นต้นเเบบสำหรับธุรกิจ Pet Center ในรูปเเบบ Franchise ตั้งเเต่ขนาด เล็ก กลาง และใหญ่
ส่วนการดำเนินธุรกิจพลังงานของบริษัทย่อย โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) และพลังงานลม ในประเทศญี่ปุ่นนั้น
นายสุวิทย์ กล่าวว่า หลังจากบอร์ดมีมติอนุมัติลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มอีก 10 โครงการ ช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งการลงทุนเพิ่มใน 10 โครงการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทันทีในไตรมาส 3 นี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 13 โครงการ
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมดำเนินการเชิงพาณิชย์ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มในไตรมาส 4/2560 อีกจำนวน 10 โครงการ รวมแล้วบริษัทจะมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งสิ้น 23 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 2,875 กิโลวัตต์ หรือกำลังการผลิตเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 23 เมกะวัตต์ในปี 2560 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เมืองอาโอโมริ (Aomori) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 7 โครงการ มูลค่าการลงทุน 80 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3/60 นี้เช่นเดียวกัน