ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ อวดรายได้รวมงวดนี้ 455.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% และมีกำไรสุทธิ 15.87 ล้านบาท ผลดีจากการเติบโตของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ-สัตว์เลี้ยง ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และการเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) 3 โครงการ ด้าน CFO “สุวิทย์ วรรณะศิริสุข” ชี้ครึ่งปีหลัง เร่งต่อยอด และขยายธุรกิจอาหารสัตว์ พร้อมลุยธุรกิจพลังงานใต้พิภพ-พลังงานลม หวังดันรายได้ปีนี้มากกว่า 1,800 ล้านบาท
นายสุวิทย์ วรรณะศิริสุข ผู้อำนวยการสายบัญชีและการเงิน บริหาร ไทยลักซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TLUXE ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 2/2560 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวม 455.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% และมีกำไรสุทธิ 15.87 ล้านบาท และมี EBITDA หรือกำไรก่อนหักภาษี และดอกเบี้ยงวดไตรมาส 2/2560 อยู่ที่ 58 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) มีรายได้รวม 877 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16% และมีกำไรสุทธิ 22.5 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรับรู้รายได้จากการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) 3 โครงการ
นายสุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2560 มั่นใจว่า ธุรกิจมีอัตราการเติบโตตามการขยายตัวของผู้ประกอบการเลี้ยงสัตว์น้ำ กุ้ง ปลา และสัตว์เลี้ยง โดยในช่วงไตรมาส 3/2560 ยังเน้นการทำตลาดเชิงรุก ทั้งขยายฐานลูกค้ารายหลัก รายใหม่ และรายเดิม เพื่อสร้างยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้น บริษัทฯ จึงได้กำหนดนโยบาย โดยเน้นเรื่องคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก และให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ตรวจสุขภาพกุ้ง พร้อมให้คำปรึกษาตลอดจนความรู้ทางวิชาการ เพื่อให้ลูกค้าตัวแทนจำหน่าย และเกษตรกรผู้เลี้ยงโดยตรง ได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นเลิศ นอกจากนี้ ยังจะเน้นทำการตลาดผ่าน Social media ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงมากขึ้น
ขณะที่ด้านอาหารปลา มีการเพิ่มลูกบ่อ และขยายตลาดปลาให้กับลูกค้า รวมถึงขยายการทำตลาดในกลุ่มอาหารปลาทะเล เช่น อาหารปลากะพง โดยเฉพาะในเขตพื้นที่การเพาะเลี้ยงหลักในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ และขยายไปยังพื้นที่การเพาะเลี้ยงในเขตภาคใต้ อาทิ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร เพื่อเป็นการขยายฐานตลาดในกลุ่มสินค้าเกรดพรีเมียม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังผลิตอาหารปลาที่ 61,000 ตัน และอาหารกุ้งที่ 80,400 ตัน โดยมีการขยายการตลาดอาหารปลาไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และประเทศมาเลเซีย ซึ่งมียอดส่งออกประมาณ 20% ส่วนการดำเนินธุรกิจพลังงานของบริษัทย่อย โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) และพลังงานลม ในประเทศญี่ปุ่น
นายสุวิทย์ กล่าวว่า หลังจากการบอร์ดมีมติอนุมัติลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มอีก 10 โครงการช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งการลงทุนเพิ่มใน 10 โครงการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศญี่ปุ่น ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทันทีในไตรมาส 3 นี้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 13 โครงการ
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพเพิ่มในไตรมาส 4/2560 อีกจำนวน 10 โครงการ รวมแล้วบริษัทจะมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทั้งสิ้น 23 โครงการ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด 2,875 กิโลวัตต์ หรือกำลังการผลิตเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 23 เมกะวัตต์ในปี 2560 ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เมืองอาโอโมริ (Aomori) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 7 โครงการ มูลค่าการลงทุน 80 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะเริ่มขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3 เช่นเดียวกัน และจากแผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ส่งผลให้ภายในสิ้นปี 2560 บริษัทฯ จะมีอัตราการเติบโตของรายได้มากกว่า 1,800 ล้านบาท