ผู้จัดการรายวัน 360 องศา - ทองยังได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะการเมืองระหว่างประเทศ และภาพเศรษฐกิจในสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งขึ้นยังกดดันให้ราคาทองไม่พุ่งแรง
นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ นักวิเคราะห์การลงทุน บล. โกลเบล็ก ระบุว่า จากการที่ นายโดนัล ทรัมป์ ประธานธิบดีสหรัฐอเมริกา ยังไม่สามารถดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่หาเสียงไว้ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สนับสนุนราคาทองให้มีโอกาสดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยชี้วัดในสัปดาห์นี้อยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ระหว่างวันที่ 25-26 ก.ค. 60 ซึ่งจะรู้ผลเช้าวันที่ 27 ก.ค. 60 คาดว่า ที่ประชุมน่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม แต่ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ถ้อยแถลงของประธาน Fed ที่นักลงทุนต่างคาดหวังการชี้ชัดถึงช่วงเวลาในการเริ่มต้นกระบวนการปรับลดงบดุลลง
ส่วนประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่ส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดวงเงินตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือมาตรการ QE เช่นเดียวกับคณะกรรมการบางส่วนในธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ที่มีการหารือถึงเรื่องดังกล่าวนี้เช่นกัน ยิ่งทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐถูกกดดันให้อ่อนค่า และเงินยูโรที่แข็งค่า แต่ปัจจัยบวกเฉพาะที่มีผลต่อราคาทองคำจำกัด
“การปรับขึ้นของราคาทองคำยังเป็นโอกาสให้ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดอย่างกองทุน SPDR เทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น นักลงทุนรายย่อยจึงควรแบ่งขายทำกำไร และถ้าราคาตลาดโลกหลุดระดับ 1,240-1,245 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ควรปรับกลยุทธ์มาเล่นเก็งกำไรแบบ swing trade โดยเน้น short แทน” นายณัฐวุฒิ กล่าว
ด้านนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำสัปดาห์หน้า (17-18 ส.ค. 60) น่าจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1,266-1,296 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
“ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา มีการดีดตัวขึ้นอย่างมาก แม้ว่าจะมีแนวโน้มเชิงบวก แต่ก็เห็นแรงขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง ทั้งนี้ หากแรงขายเป็นเพียงแรงขายทำกำไรระยะสั้น อาจทำให้ราคาทองคำค่อยขยับขึ้นต่อ จึงยังคงแนะนำเน้นเก็งกำไรโดยรอจังหวะเข้าซื้อ โดยสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ อาจเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณ 1,277-1,266 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำให้รอดูบริเวณโซนแนวรับสำคัญ 1,247 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และรอขายทำกำไรบางส่วนบริเวณแนวต้านโซน 1,296-1,320 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทั้งนี้ ควรตั้งจุดทำกำไร และตัดขาดทุน หากราคาไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน” นางสาวฐิภา กล่าว