รมว.คลัง เผยผลประชุมยุทธศาสตร์อีเพย์เมนต์ โดยระบุ ธปท. เตรียมประกาศมาตรฐาน QR Code ได้ในสิ้นเดือน ส.ค. 60 ย้ำ ที่ต้องกำหนดมาตรฐานเพื่อช่วยป้องกันความสับสนแก่ประชาชนที่อาจจะใช้บริการจากผู้ให้บริการที่ต่างค่าย ส่วนความคืบหน้าจำนวนผู้ที่ผู้ลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ มีทั้งสิ้น 31.5 ล้านหมายเลขโทรศัพท์ แบ่งเป็นการลงทะเบียนโดยการใช้บัตรประชาชน 23.5 ล้านเบอร์ และลงทะเบียนโดยการใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถืออีก 8 ล้านเบอร์
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมของคณะกรรมขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ครั้งที่ 6/2560 ว่า หน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยในปัจจุบัน การเจริญเติบโตของการใช้จ่ายผ่านระบบพร้อมเพย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบการใช้เงินแบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างจะดี
ทั้งนี้ จำนวนผู้ที่ผู้ลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ จะมีรวมกันทั้งสิ้น 31.5 ล้านหมายเลขโทรศัพท์ โดยแบ่งเป็นการลงทะเบียนโดยการใช้บัตรประชาชน 23.5 ล้านเบอร์ และลงทะเบียนโดยการใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถืออีก 8 ล้านเบอร์ ซึ่งตนมองว่า จำนวนผู้ใช้ระบบพร้อมเพย์ในประเทศไทยถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่เคยใช้ระบบพร้อมเพย์ก่อนหน้าประเทศไทย นอกจากนี้ สัดส่วนการโอนเงินผ่านระบบดังกล่าวก็ถือว่ามีอัตราการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างสูง แม้ประเทศไทยจะยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นก็ตาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการการใช้บัตรเดบิตกับเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ว่า ปัจจุบันจะมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้ร่วมกันติดตั้งเครื่อง EDC แล้วทั้งสิ้น 1.05 แสนหน่วยงาน และมีจำนวนเครื่อง EDC ที่ติดตั้งแล้ว 1.8. แสนเครื่อง จากเป้าหมายที่กระทรวงการคลังเคยตั้งไว้ที่ 560,000 เครื่อง นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังได้แจ้งต่อที่ประชุมฯ ด้วยว่า หากร้านค้าแห่งใดที่ได้ติดตั้งเครื่อง EDC แล้ว กรมสรรพากรจะไม่เข้าตรวจสอบความถูกต้องในการเสียภาษี แต่จะเข้าตรวจสอบเฉพาะร้านค้าที่ยังไม่มีการติดตั้งเครื่องรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม นายอภิศักดิ์ ยังได้กล่าวต่อถึงการวางโครงสร้างระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงการคลังนั้น เพื่อให้สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง QR Code ด้วย โดยในการประชุมฯ ครั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ ธปท. จะประกาศมาตรฐาน QR Code หลังที่เคยหารือกับบริษัทเครดิตการ์ดขนาดใหญ่ในประเทศไปแล้ว
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการกำหนดมาตรฐาน QR Code ก็เพื่อช่วยป้องกันความสับสนวุ่นวายแก่ประชาชนที่อาจจะใช้บริการจากผู้ให้บริการที่ต่างค่ายกัน ส่วนค่ายใดที่มีความพร้อมที่จะเปิดให้บริการชำระสินค้าผ่าน QR Code สามารถเริ่มดำเนินการได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องรอประกาศจาก ธปท. ในสิ้นเดือนนี้ส่วนโครงการให้สวัสดิการการใช้รถเมล์ฟรีสำหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า บัตรจะสามารถออกทันใช้ในวันที่ 1 ต.ค. นี้อย่างแน่นนอน โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมแจ้งว่าจะมีจำนวนรถเมล์ที่พร้อมเข้าร่วมประมาณ 800-900 คัน แต่จะสามารถขยายได้ถึง 1,200-1,800 คันภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็นกว่า 2,000 คันในปี 2561 นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในประเด็นที่กระทรวงการคลังเคยเสนอให้พิจารณาถึงกรณีผู้มีรายได้น้อยจะสามารถหักเงินสวัสดิการเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าฟรีแทนการขึ้นรถเมล์ฟรีได้ด้วย
โดยผลการเปิดรับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนกับกระทรวงการคลังที่ผ่านมา จะมียอดรวมทั้งสิ้น 14 ล้านคน แต่ความคืบหน้าในการตรวจสอบคุณสมบัติรอบแรกจะมีผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 11 ล้านราย แต่อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยังต้องความชัดเจนหลังนักศึกษาที่กระทรวงการคลังว่าจ้างได้เสร็จสิ้นการทำสำรวจในพื้นที่แล้ว
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังการประชุมของคณะกรรมขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ครั้งที่ 6/2560 ว่า หน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยในปัจจุบัน การเจริญเติบโตของการใช้จ่ายผ่านระบบพร้อมเพย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบการใช้เงินแบบอิเล็กทรอนิกส์นั้น อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างจะดี
ทั้งนี้ จำนวนผู้ที่ผู้ลงทะเบียนใช้พร้อมเพย์ จะมีรวมกันทั้งสิ้น 31.5 ล้านหมายเลขโทรศัพท์ โดยแบ่งเป็นการลงทะเบียนโดยการใช้บัตรประชาชน 23.5 ล้านเบอร์ และลงทะเบียนโดยการใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถืออีก 8 ล้านเบอร์ ซึ่งตนมองว่า จำนวนผู้ใช้ระบบพร้อมเพย์ในประเทศไทยถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศที่เคยใช้ระบบพร้อมเพย์ก่อนหน้าประเทศไทย นอกจากนี้ สัดส่วนการโอนเงินผ่านระบบดังกล่าวก็ถือว่ามีอัตราการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างสูง แม้ประเทศไทยจะยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นก็ตาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของโครงการการใช้บัตรเดบิตกับเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ว่า ปัจจุบันจะมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้ร่วมกันติดตั้งเครื่อง EDC แล้วทั้งสิ้น 1.05 แสนหน่วยงาน และมีจำนวนเครื่อง EDC ที่ติดตั้งแล้ว 1.8. แสนเครื่อง จากเป้าหมายที่กระทรวงการคลังเคยตั้งไว้ที่ 560,000 เครื่อง นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังได้แจ้งต่อที่ประชุมฯ ด้วยว่า หากร้านค้าแห่งใดที่ได้ติดตั้งเครื่อง EDC แล้ว กรมสรรพากรจะไม่เข้าตรวจสอบความถูกต้องในการเสียภาษี แต่จะเข้าตรวจสอบเฉพาะร้านค้าที่ยังไม่มีการติดตั้งเครื่องรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม นายอภิศักดิ์ ยังได้กล่าวต่อถึงการวางโครงสร้างระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงการคลังนั้น เพื่อให้สามารถรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง QR Code ด้วย โดยในการประชุมฯ ครั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แจ้งให้ทราบว่า ในวันที่ 31 ส.ค. นี้ ธปท. จะประกาศมาตรฐาน QR Code หลังที่เคยหารือกับบริษัทเครดิตการ์ดขนาดใหญ่ในประเทศไปแล้ว
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ในการกำหนดมาตรฐาน QR Code ก็เพื่อช่วยป้องกันความสับสนวุ่นวายแก่ประชาชนที่อาจจะใช้บริการจากผู้ให้บริการที่ต่างค่ายกัน ส่วนค่ายใดที่มีความพร้อมที่จะเปิดให้บริการชำระสินค้าผ่าน QR Code สามารถเริ่มดำเนินการได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องรอประกาศจาก ธปท. ในสิ้นเดือนนี้ส่วนโครงการให้สวัสดิการการใช้รถเมล์ฟรีสำหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า บัตรจะสามารถออกทันใช้ในวันที่ 1 ต.ค. นี้อย่างแน่นนอน โดยเบื้องต้นกระทรวงคมนาคมแจ้งว่าจะมีจำนวนรถเมล์ที่พร้อมเข้าร่วมประมาณ 800-900 คัน แต่จะสามารถขยายได้ถึง 1,200-1,800 คันภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็นกว่า 2,000 คันในปี 2561 นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ในประเด็นที่กระทรวงการคลังเคยเสนอให้พิจารณาถึงกรณีผู้มีรายได้น้อยจะสามารถหักเงินสวัสดิการเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าฟรีแทนการขึ้นรถเมล์ฟรีได้ด้วย
โดยผลการเปิดรับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนกับกระทรวงการคลังที่ผ่านมา จะมียอดรวมทั้งสิ้น 14 ล้านคน แต่ความคืบหน้าในการตรวจสอบคุณสมบัติรอบแรกจะมีผู้ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้น 11 ล้านราย แต่อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยังต้องความชัดเจนหลังนักศึกษาที่กระทรวงการคลังว่าจ้างได้เสร็จสิ้นการทำสำรวจในพื้นที่แล้ว