พีทีที โกลบอล เคมิคอล โกยกำไร 6,603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิรวม 19,785 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 105% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลดีจากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น และส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น อีกทั้งรับรู้กำไรจากโครงการ MAX และรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมรวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยน
นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCG แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปี 60 ว่า มีกำไรสุทธิรวม 6,603 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.48 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาส 2/2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4,924 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.10 บาทต่อหุ้น และผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 19,785 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 105% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่มีรายได้จากการขายรวม 100,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีก่อน 54% จากปริมาณขายที่ดีขึ้น เนื่องจากจำนวนวันหยุดผลิตเพื่อซ่อมบำรุงตามแผนที่ลดลง ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560 รายได้จากการขายปรับตัวลดลง 6% จากทั้งปัจจัยเรื่องราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมัน และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง และไตรมาสนี้ หยุดผลิตตามแผนซ่อมบำรุงของโรงโอเลฟินส์ 2/1 และโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 ทำให้ไม่สามารถใช้อัตราการใช้กำลังการผลิตของธุรกิจโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ ได้อย่างเต็มที่
ในส่วนของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในธุรกิจการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนต่างของน้ำมันเตาที่ปรับตัวเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ GRM ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 6.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ที่ 4.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และไตรมาส 1/2560 ที่ 6.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ ส่วนต่างราคาเบนซีนปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2/2559 จากราคาผลิตภัณฑ์สไตรีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560
ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ หรือ Market P2F ในไตรมาส 2 ปีนี้ อยู่ที่ 212 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีก่อน 44% แต่ลดลงจากไตรมาสแรกปีนี้ 34% ในส่วนของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลดลงเล็กน้อย ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากไตรมาสก่อนหน้าที่ราคาผลิตภัณฑ์บิวทาไดอีน อยู่ในระดังสูง แต่ปรับตัวลดลงมาอยู่ในสภาวะปกติในไตรมาสนี้
ดังนั้น ส่งผลให้ในไตรมาส 2 ปีนี้ adjusted EBITDA margin ของธุรกิจนี้อยู่ที่ 27% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 59 ที่ 24% แต่ลดลงจากไตรมาสแรก และบริษัทรับรู้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมจากกรณีเหตุการณ์โรงงานโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 จำนวน 130 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากโครงการ MAX หรือโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรอีก 581 ล้านบาท ซึ่้งทำให้ Adjusted EBITDA ไตรมาสนี้ อยู่ที่ 12,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% รวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน และ NRV 1,104 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 275 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2560 พบว่ามีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการดำเนินการที่ดีขึ้นทั้งจากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น และส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้กำไรจากการดำเนินโครงการ MAX ที่เริ่มในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 19,785 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 105 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความคืบหน้าสำคัญของโครงการ Asset Injection หรือโครงการปรับโครงสร้างการถือหุ้นธุรกิจปิโตรเคมี สายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. โดยในวันที่ 3 กรกฎาคม 60 บริษัทฯ ได้มีการดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 6 บริษัท และรับโอนผลการศึกษาโครงการจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีจำนวนเงินภายหลังการปรับมูลค่าทั้งสิ้น 25,061 ล้านบาทแล้ว ซึ่งการทำธุรกรรมครั้งนี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และสร้างโอกาสต่อยอดการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น
นางสาวดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCG แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปี 60 ว่า มีกำไรสุทธิรวม 6,603 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.48 บาทต่อหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาส 2/2559 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4,924 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.10 บาทต่อหุ้น และผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 19,785 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 105% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่มีรายได้จากการขายรวม 100,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีก่อน 54% จากปริมาณขายที่ดีขึ้น เนื่องจากจำนวนวันหยุดผลิตเพื่อซ่อมบำรุงตามแผนที่ลดลง ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560 รายได้จากการขายปรับตัวลดลง 6% จากทั้งปัจจัยเรื่องราคาผลิตภัณฑ์ที่อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมัน และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลง และไตรมาสนี้ หยุดผลิตตามแผนซ่อมบำรุงของโรงโอเลฟินส์ 2/1 และโรงงานอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 ทำให้ไม่สามารถใช้อัตราการใช้กำลังการผลิตของธุรกิจโอเลฟินส์ และอะโรเมติกส์ ได้อย่างเต็มที่
ในส่วนของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในธุรกิจการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนต่างของน้ำมันเตาที่ปรับตัวเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ GRM ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 6.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2559 ที่ 4.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และไตรมาส 1/2560 ที่ 6.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ ส่วนต่างราคาเบนซีนปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาส 2/2559 จากราคาผลิตภัณฑ์สไตรีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560
ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปรับตัวลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ หรือ Market P2F ในไตรมาส 2 ปีนี้ อยู่ที่ 212 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปีก่อน 44% แต่ลดลงจากไตรมาสแรกปีนี้ 34% ในส่วนของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ราคาเม็ดพลาสติกปรับตัวลดลงเล็กน้อย ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากไตรมาสก่อนหน้าที่ราคาผลิตภัณฑ์บิวทาไดอีน อยู่ในระดังสูง แต่ปรับตัวลดลงมาอยู่ในสภาวะปกติในไตรมาสนี้
ดังนั้น ส่งผลให้ในไตรมาส 2 ปีนี้ adjusted EBITDA margin ของธุรกิจนี้อยู่ที่ 27% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 59 ที่ 24% แต่ลดลงจากไตรมาสแรก และบริษัทรับรู้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มเติมจากกรณีเหตุการณ์โรงงานโอเลฟินส์หน่วยที่ 3 จำนวน 130 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากโครงการ MAX หรือโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานทั่วทั้งองค์กรอีก 581 ล้านบาท ซึ่้งทำให้ Adjusted EBITDA ไตรมาสนี้ อยู่ที่ 12,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% รวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากมูลค่าสต๊อกน้ำมัน และ NRV 1,104 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 275 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2560 พบว่ามีการปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการดำเนินการที่ดีขึ้นทั้งจากปริมาณการขายที่เพิ่มสูงขึ้น และส่วนต่างผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังรับรู้กำไรจากการดำเนินโครงการ MAX ที่เริ่มในช่วงไตรมาส 4 ปี 2559 รวมถึงรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 19,785 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 105 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความคืบหน้าสำคัญของโครงการ Asset Injection หรือโครงการปรับโครงสร้างการถือหุ้นธุรกิจปิโตรเคมี สายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ และกลุ่ม ปตท. โดยในวันที่ 3 กรกฎาคม 60 บริษัทฯ ได้มีการดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 6 บริษัท และรับโอนผลการศึกษาโครงการจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีจำนวนเงินภายหลังการปรับมูลค่าทั้งสิ้น 25,061 ล้านบาทแล้ว ซึ่งการทำธุรกรรมครั้งนี้จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และสร้างโอกาสต่อยอดการดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น