รมว.คลังระบุเงินบาทแข็งค่ามาจาก 2 ดีลที่มีเงินดอลลาร์สหัฐจำนวนมากเข้าประเทศ และเป็นเหตุการณ์ระยะสั้น เตือนเอสเอ็มอีทำประกันความเสี่ยง อย่าเก็งค่าเงินบาท
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง โดยวันนี้เคลื่อนไหวที่ 33.27 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐว่า สาเหตุมาจาก 2 ส่วน คือ การที่ดุลการค้าของไทยเกินดุลเฉลี่ย 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงนี้มีดีลการค้าสำคัญ 2 ราย คือ การที่ธนาคาร CTBC เข้าซื้อหุ้นบริษัท LH ไฟแนนเชียลกรุ๊ป หรือ LH Bank วงเงิน 16,595 ล้านบาท และธนาคารพาณิชย์และบริษัทประกันภัย จะนำเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ามาประมาณ 1-2 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น จึงมีเงินดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ระบบการเงินของไทยจำนวนมาก การแข็งค่าของเงินบาทจึงเป็นสถานการณ์ในระยะสั้น แต่หลังจากเงินเหล่านี้ถูกใช้ออกไป ก็น่าจะทำให้เงินบาทกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ดูแลเพื่อไม่ให้แข็งค่าเกินจำเป็น
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การที่เงินบาทแข็งค่า จะกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอี โดยเฉพาะที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ จึงขอให้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนในการกำหนดราคาสินค้า อย่าเก็งกำไรว่าเงินบาทจะแข็งหรืออ่อน ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ไม่มีผลกระทบ เพราะบางรายนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ที่จะได้ประโยชน์จากการที่บาทแข็งค่า และส่วนใหญ่ก็ทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว โดยรวมยังเชื่อว่า ส่งออกยังขยายตัวได้ดี เพราะสัดส่วนรายได้จากการส่งออกมาจากผู้ส่งออกรายใหญ่อยู่แล้ว
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในภาคอีสาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทางสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยที่ทางกระทรวงการคลังไม่ต้องสั่งการ ซึ่งหากลูกค้าบางราย มีความจำเป็นเพิ่มเติม สถาบันการเงินก็พร้อมที่จะเพิ่มมาตรการเยียวยา
ส่วนกรณีที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น การลดค่าธรรมเนียมการโอน การจดจำนอง และภาษีธุรกิจเฉพาะ ให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย เพื่อกระตุ้นยอดขายอสังหาริมทรัพย์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็น เนื่องจากยอดขายอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลง มาจากภาวะเศรษฐกิจ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์น้ำท่วม