บริษัท อุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 60 อนุมัติเข้าลงทุนในธุรกิจพรมเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Carpet Business) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจของ Tai Ping Carpets International Limited (Tai Ping) ซึ่ง Thai Ping จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ด้วยการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของกลุ่มบริษัท Tai Ping Carpets International Limited เป็นเงินทั้งสิ้น 94 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.15 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยจะเข้าลงทุนใน Commercial Carpet Business ทั้งหมดของ Tai Ping ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่จดทะเบียนในหลายประเทศ เช่น ไทย, สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเก๊า, อินเดีย และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน เป็นต้น โดยบริษัทจะจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาในฮ่องกง (HK Entity) เพื่อถือหุ้นใน Costigan Limited (CTG) ซึ่งถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ของ Commercial Carpet Business และจัดตั้งบริษัทย่อยในสหราชอาณาจักร (UK Entity) เพื่อรับโอนธุรกิจในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง โดยบริษัท และ HK Entity จะร่วมกันถือหุ้นในบริษัท เวชาไชย จำกัด (VC) ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 99.30 ในบมจ. คาร์เปท อินเตอร์แนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด (CIT) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพรมในประเทศไทย
สำหรับธุรกิจที่บริษัทจะได้มานั้น มีลักษณะของธุรกิจที่เหมือนกันกับธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน คือ การผลิตและจำหน่ายพรม ซึ่งภายหลังการเข้าทำรายการดังกล่าว บริษัทจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในธุรกิจหลัก และจะยังมุ่งเน้นธุรกิจผลิตและจำหน่ายพรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักต่อไป และยังมีคุณสมบัติครบถ้วน และเหมาะสมในการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไปด้วย
TCMC ระบุว่า เมื่อเข้าลงทุนธุรกิจ Commercial Carpet Business ของ Tai Ping แล้วบริษัทจะต้องโอนสิทธิในแบรนด์ Tai Ping คืนให้ทาง Tai Ping โดยบริษัทจะใช้แบรนด์อื่นมาทดแทน อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน โดย Commercial Carpet Business ของ Tai Ping มียอดขายเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกในธุรกิจพรม และยอดขายพรมเป็นอันดับ 1 ในไทย และยังจะได้รับประโยชน์จากการประสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกันในอนาตต เช่น ฐานลูกค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย วัตถุดิบและการผลิต เป็นต้น
สำหรับแหล่งเงินลงทุนจะมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นสกุลบาท จำนวน 3.35 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนในกิจการ 3.15 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้สำรองไว้ในการทำธุรกรรม โดยการคืนเงินกู้ดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจำนวนประมาณ 1.85 พันล้านบาท จะนำเงินที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจของ Commercial Carpet Business และของบริษัทมาชำระคืนเงินกู้ ส่วนที่สองจำนวนไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท จะมาจากเงินเพิ่มทุน และการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์)
Thai Ping ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายพรม โดยแบ่งพรมเป็น 2 ลักษณะ คือ พรมเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Carpet Business) และพรมที่เป็นงานฝีมือ (Artisan Carpet Business) โดยกลุ่มลูกค้าของ Commercial Carpet Business จะเป็นโรงแรม คาสิโน หอประชุม รถยนต์ อาคารสำนักงาน และเรือสำราญขนาดใหญ่ เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้าของ Artisan Carpet Business จะเป็นบ้าน วัง เรือยอร์ช เครื่องบิน โรงแรมหรู เป็นต้น
แบรนด์ที่ใช้สำหรับ Commercial Carpet Business คือ 1956 by Tai Ping และ Carpets Inter สำหรับ Artisan Carpet Business คือ Tai Ping, Edward Fields และ Cogolin
สำหรับลักษณะการประกอบธุรกิจของ Commercial Carpet Business ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกนั้น ได้มีการจัดตั้งบริษัทในประเทศต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ โดยจะมีการผลิตพรมจาก 3 แห่ง คือ โรงงานของ บมจ. คาร์เปท อินเตอร์ แนชั่นแนล ไทยแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในไทย ถือหุ้นโดย Tai Ping ร้อยละ 99.30, โรงงานที่หนานไห่ (Nanhai factory) ในจีน ถือหุ้นโดย Tai Ping ร้อยละ 80 และโรงงานอื่นในจีน (China partner workshop) โดยโรงงานในไทยจะขายสินค้าโดยตรงกับลูกค้าในไทย และออสเตรเลีย ส่วนโรงงานในจีนจะขายสินค้าผ่าน Tai Ping Carpets International Trading (Shanghai) Company Limited (TPCIT) สำหรับลูกค้าอื่น ๆ จะผลิตโดยโรงงานในไทย และจีน ขายผ่านทางบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่ม Tai Ping (Tai Ping Group)
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยจะเข้าลงทุนใน Commercial Carpet Business ทั้งหมดของ Tai Ping ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่จดทะเบียนในหลายประเทศ เช่น ไทย, สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเก๊า, อินเดีย และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน เป็นต้น โดยบริษัทจะจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาในฮ่องกง (HK Entity) เพื่อถือหุ้นใน Costigan Limited (CTG) ซึ่งถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ของ Commercial Carpet Business และจัดตั้งบริษัทย่อยในสหราชอาณาจักร (UK Entity) เพื่อรับโอนธุรกิจในแถบยุโรป และตะวันออกกลาง โดยบริษัท และ HK Entity จะร่วมกันถือหุ้นในบริษัท เวชาไชย จำกัด (VC) ซึ่งถือหุ้นร้อยละ 99.30 ในบมจ. คาร์เปท อินเตอร์แนชั่นแนล ไทยแลนด์ จำกัด (CIT) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพรมในประเทศไทย
สำหรับธุรกิจที่บริษัทจะได้มานั้น มีลักษณะของธุรกิจที่เหมือนกันกับธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน คือ การผลิตและจำหน่ายพรม ซึ่งภายหลังการเข้าทำรายการดังกล่าว บริษัทจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในธุรกิจหลัก และจะยังมุ่งเน้นธุรกิจผลิตและจำหน่ายพรม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักต่อไป และยังมีคุณสมบัติครบถ้วน และเหมาะสมในการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไปด้วย
TCMC ระบุว่า เมื่อเข้าลงทุนธุรกิจ Commercial Carpet Business ของ Tai Ping แล้วบริษัทจะต้องโอนสิทธิในแบรนด์ Tai Ping คืนให้ทาง Tai Ping โดยบริษัทจะใช้แบรนด์อื่นมาทดแทน อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน โดย Commercial Carpet Business ของ Tai Ping มียอดขายเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกในธุรกิจพรม และยอดขายพรมเป็นอันดับ 1 ในไทย และยังจะได้รับประโยชน์จากการประสานความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกันในอนาตต เช่น ฐานลูกค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย วัตถุดิบและการผลิต เป็นต้น
สำหรับแหล่งเงินลงทุนจะมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเป็นสกุลบาท จำนวน 3.35 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนในกิจการ 3.15 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้สำรองไว้ในการทำธุรกรรม โดยการคืนเงินกู้ดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจำนวนประมาณ 1.85 พันล้านบาท จะนำเงินที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจของ Commercial Carpet Business และของบริษัทมาชำระคืนเงินกู้ ส่วนที่สองจำนวนไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท จะมาจากเงินเพิ่มทุน และการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์)
Thai Ping ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายพรม โดยแบ่งพรมเป็น 2 ลักษณะ คือ พรมเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Carpet Business) และพรมที่เป็นงานฝีมือ (Artisan Carpet Business) โดยกลุ่มลูกค้าของ Commercial Carpet Business จะเป็นโรงแรม คาสิโน หอประชุม รถยนต์ อาคารสำนักงาน และเรือสำราญขนาดใหญ่ เป็นต้น ส่วนกลุ่มลูกค้าของ Artisan Carpet Business จะเป็นบ้าน วัง เรือยอร์ช เครื่องบิน โรงแรมหรู เป็นต้น
แบรนด์ที่ใช้สำหรับ Commercial Carpet Business คือ 1956 by Tai Ping และ Carpets Inter สำหรับ Artisan Carpet Business คือ Tai Ping, Edward Fields และ Cogolin
สำหรับลักษณะการประกอบธุรกิจของ Commercial Carpet Business ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกนั้น ได้มีการจัดตั้งบริษัทในประเทศต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ โดยจะมีการผลิตพรมจาก 3 แห่ง คือ โรงงานของ บมจ. คาร์เปท อินเตอร์ แนชั่นแนล ไทยแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในไทย ถือหุ้นโดย Tai Ping ร้อยละ 99.30, โรงงานที่หนานไห่ (Nanhai factory) ในจีน ถือหุ้นโดย Tai Ping ร้อยละ 80 และโรงงานอื่นในจีน (China partner workshop) โดยโรงงานในไทยจะขายสินค้าโดยตรงกับลูกค้าในไทย และออสเตรเลีย ส่วนโรงงานในจีนจะขายสินค้าผ่าน Tai Ping Carpets International Trading (Shanghai) Company Limited (TPCIT) สำหรับลูกค้าอื่น ๆ จะผลิตโดยโรงงานในไทย และจีน ขายผ่านทางบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่ม Tai Ping (Tai Ping Group)