บล. ทรีนิตี้ แนะนักลงทุนรอจังหวะการเข้าซื้อ “โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” เหตุตลาดมีโอกาสปรับลดประมาณการลง เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ตลาดยังมีความซบเซา และมุมมองการเติบโตของสาขาเดิมที่ในไตรมาส 2/2560 ติดลบอย่างหนัก และต่อเนื่องคาดว่าทั้งปีจะยังคงติดลบ
นางสาวเกษ ตวงทอง นักวิเคราะห์ บล. ทรีนิตี้ กล่าวในบทวิเคราะห์การลงทุน บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO ว่า จากการพิจารณาผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2560 ที่ผ่านมา พบว่า กำไรประจำไตรมาส 2/2560 มีจำนวน 1,131 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +8.1% เทียบระหว่างไตรมาส และปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +14.2% หากเทียบกับช่วงเดียวกันกับของปีก่อนหน้า ซึ่งมองว่า ผลการดำเนินงานยังเติบโตต่อเนื่อง
แต่กระนั้น หากพิจารณาต่อสาขาพบว่า อัตราการเติบโตของสาขาเดิมติดลบอย่างหนัก โดยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ -6.3% จากระดับการติดลบเดิมที่ -2.5% ในไตรมาส 1/2560 และปรับตัวกลับมา +3.7% ในไตรมาส 2/2559 ซึ่งถือว่าเป็นฐานที่สูง
ทั้งนี้ ไตรมาส 2/2560 มีฤดูกาลเปลี่ยนแปลงที่มีฝนตกเร็วกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าเครื่องทำความเย็น อีกทั้ง การขาดการกระตุ้นมาตรการการใช้จ่ายจากภาครัฐ และได้รับผลกระทบจากการ Cannibalization ของสาขาพระราม 9 (ใกล้สาขารามคำแหง) และสาขาศรีนครินทร์ (ใกล้สาขาพาราไดซ์พาร์ค) อย่างไรก็ตาม การเติบโตจากการเปิดสาขาใหม่สามารถชดเชยการลดลงของ SSSG ได้
อย่างไรก็ตาม คาดทั้งปี SSSG ติดลบ เปลี่ยนแผนการขยายสาขาเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ โดย มุมมองจากการประชุม คาดว่าในปี 2560 จะมีอัตราการเติบโตของสาขาที่ติดลบ จากสภาพกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทางโฮมโปรมีการเปลี่ยนแผน ลดการขยายสาขาเมกาโฮม ซึ่งกลุ่มลูกค้าอยู่ในต่างจังหวัด โดยการเปิดสาขาเมกาโฮม เหลือ 1 สาขา จากเดิมตั้งเป้าไว้ 3-4 สาขา แต่ยังคงแผนการขยายสาขารูปแบบโฮมโปร 3 สาขา โดยเปิดไปแล้ว 2 สาขาในไตรมาส 2/2560 ได้แก่ โลตัสบางแค และเกตเวย์เอกมัย เป็นสาขาแรกที่มีรูปแบบ Home Pro S คือ ขนาดเล็ก และเร่งขยายการเปิดสาขามาเลเซียเป็น 3-4 สาขาจากเดิม 2-3 สาขาในปีนี้แทน เพื่อให้ครบ 6 สาขา ซึ่งเป็นจำนวนที่จะถึงจุดคุ้มทุน และได้การประหยัดต่อขนาด คาดใช้งบลงทุนทั้งปีที่ประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาท
“จากการประชุมนักวิเคราะห์ เรามองว่า ตลาดมีโอกาสปรับลดประมาณการลง เนื่องจากมีการปรับแผนการขยายสาขา อีกทั้ง ยังอยู่ในช่วงที่ตลาดยังมีความซบเซา และมุมมองของการเติบโตของสาขาเดิมที่ในไตรมาส 2/2560 ติดลบหนัก และต่อเนื่อง คาดว่าทั้งปีจะยังคงติดลบ โดยยังไม่มีปัจจัยอื่นที่สำคัญเข้ามาเป็นแรงผลักดัน เราจึงปรับคำแนะนำจาก ซื้อที่ราคาเป้าหมาย 11.90 บาท เป็น “อยู่ระหว่างปรับประมาณการ””