ซีไอเอ็มบี ไทย เผยสินเชื่อรายย่อย 5 เดือน โตได้ 5-6% จากเป้าหมาย 10% ชี้สินเชื่อบ้านยังโตได้ดี ขณะที่กลุ่มไม่มีหลักประกันยังชะลอ จับตาเกณฑ์ออกบัตรใหม่แบงก์ชาติกระทบธุรกิจ พร้อมเปิดแนวทางรุกกลุ่ม Wealth ชูเพิ่มทางเลือกใหม่-ผลิตภัณฑ์หลากหลาย พร้อมออกแคมเปญ “Be The Victor” ชวนลูกค้าตามฝัน
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมสินเชื่อรายย่อยของธนาคารในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมา เติบโตได้ประมาณ 5-6% จากเป้าหมายที่วางไว้ 10% จากยอดคงค้างของสินเชื่อรายย่อยรวมที่ประมาณกว่า 1 แสนล้านบาท โดยสินเชื่อที่ยังเติบโตได้ดีเป็นสินเชื่อบ้าน ขณะที่กลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกันค่อนข้างชะลออยู่ ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) น่าจะทรง ๆ ที่ 3.5% และในปีนี้ก็น่าจะทรงตัวในระดับเดิม ซึ่งธนาคารมีแผนที่จะขายเอ็นพีแอล ออกไปอีก 1-2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ในส่วนสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกันนั้น โดยรวมแล้ว นอกจากจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้าแล้ว ยังจะต้องดูผลกระทบจากเกณฑ์การควบคุมการอนุมัติบัตรเครดิตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจำนวนบัตรของผู้ถือแต่ละราย การเพิ่มวงเงินรายได้ขั้นต่ำ ซึ่งตรงนี้จะกระทบกับการดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามเกณฑ์ใหม่
“แนวทางการควบคุมการก่อหนี้ที่แบงก์ชาติทำ ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีที่จะดูแลด้านวินัยทางการเงิน แต่ก็ต้องยอมรับว่า ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารอยู่บ้าง ก็คงจะต้องมีการปรับกันไป แต่ก็จะเป็นผลดีต่อทั้งระบบในระยะยาว”
ด้านการปรับลดจำนวนสาขาของธนาคารนั้น ปัจจุบัน ธนาคารมีจำนวนสาขา 92 สาขา จากต้นปี 93 สาขา และปลายปีจะเหลือ 80 กว่าสาขา ซึ่งธนาคารก็ยังมีการเพิ่มสาขาอยู่บ้าง แต่จะเน้นสาขาในห้างสรรพสินค้าที่จะให้บริการกลุ่มลูกค้า Wealth เป็นส่วนใหญ่ และจะเดินหน้าเปิดสาขาในเซเว่น อีเลเว่น รวมถึงมีแนวทางที่เปิดสาขาในปั๊มน้ำมันด้วย โดยขณะนี้รอการอนุมัติจาก ธปท.
**เปิดกลยุทธ์รุกกลุ่ม Wealth **
นางสาวดุษณี เกลียวปฏินนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารมีแผนงานที่จะรุกธุรกิจ Wealth ไปอีกขั้น ด้วยการเพิ่มทางเลือกใหม่ ๆ ในการลงทุนจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ บริการรับซื้อ-เสนอขายพันธบัตร และหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด (secondary bond) อย่างจริงจัง เพื่อเป็นทางเลือกให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก หรือพันธบัตร หรือหุ้นกู้ที่เสนอขาย IPO ในช่วงนั้น ๆ โดยมีวงเงินลงทุนตั้งแต่หลักแสนขึ้นไปเท่านั้น ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่รับความเสี่ยงได้ค่อนข้างมาก และเป็นลูกค้ารายใหญ่นั้น ธนาคารนำเสนอทางเลือกใหม่ หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง Maxi EQ ซึ่งใช้เงินลงทุนขั้นต่ำ 5 ล้านบาทขึ้นไป เป็นต้น
นอกเหนือจากการเป็นตัวกลางทางการเงิน ให้คำปรึกษา ให้บริการวางแผนการเงิน และเป็นแหล่งทุนแล้ว ธนาคารมีแคมเปญ “Be The Victor” เป็นการเข้าถึงลูกค้าด้วยทัศนคติ หรือ Mind Set ที่ธนาคารต้องการวางลงไปคู่กับแนวทางการทำงานของธนาคารหลังจากนี้