ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ เร่งดันผลการดำเนินงาน 3 ไตรมาสที่เหลือเติบโตตามแผนงาน หลังผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัว จากผลกระทบธุรกิจงานประมูลในต่างประเทศแข่งขันราคาสูงขึ้น และธุรกิจ OEM ที่มีรายได้ลดลง ด้านผู้บริหารวางแผนรุกขยายฐานลูกค้า OEM เตรียมเจรจาลูกค้าในจีน และญี่ปุ่น เพื่อร่วมมือวางแผนขยายตลาด และเร่งเพิ่มยอดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตน คาดครึ่งปีหลังบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากแบ็กล็อกงานประมูลผลิตถุงยางอนามัยจากองค์กร NGOs ของสหรัฐฯ
นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิต และจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทย และรายใหญ่ของโลก รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องภายใต้แบรนด์ “Onetouch” และ “Niptex” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าผลักดันผลการดำเนินงานในไตรมาส 2-4 นี้ เติบโตได้ตามแผนงานที่วางไว้ หลังจากที่ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ได้รับผลกระทบจากมาร์จิ้น และปริมาณการขายสินค้าที่ลดลง
โดยมีปัจจัยหลักจากธุรกิจงานประมูล (Tender) ถุงยางอนามัยในต่างประเทศที่แข่งขันราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยของงานที่ชนะประมูลในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ได้รับผลกระทบจากลูกค้าหลักในกลุ่มทวีปเอเชียโดยเฉพาะประเทศจีนที่ชะลอการสั่งสินค้า เนื่องจากลูกค้าได้เปลี่ยนนโยบายการบริหารสินค้าคงคลัง ซึ่งมีผลให้สัดส่วนการซื้อสินค้าเปลี่ยนไป โดยเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำกว่า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลกระทบกับผลการดำเนินงาน ได้แก่ เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา และราคาน้ำยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาส 1/60 จำนวน 242.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.4 ล้านบาท ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในไตรมาส 2-4 ของปีนี้ บริษัทฯ จะเร่งเพิ่มรายได้จากธุรกิจ OEM โดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้ารายใหม่ และเจรจากับลูกค้ารายเดิมในประเทศจีน เพื่อร่วมมือวางแผนในการขยายตลาด ส่วนธุรกิจผลิต และจำหน่ายถุงยางอนามัย และเจลหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ จะเร่งเพิ่มยอดขายสินค้าแบรนด์ “Onetouch” โดยเตรียมทำกิจกรรมการตลาดทั้งโปรโมชันส่งเสริมการขาย เนื่องจากผลกระทบจากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ ไม่ได้มีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทฯ ได้ทำแคมเปญเพื่อรุกสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถุงยางอนามัย Onetouch รุ่น 003 ซึ่งเป็นถุงยางอนามัยรุ่นใหม่ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติที่มีความบางที่สุดเท่าที่บริษัทฯ เคยผลิต พร้อมทั้งจะเร่งสร้างยอดขายจาก “Niptex” ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ที่เริ่มเข้าไปรุกตลาดในประเทศเวียดนาม
ส่วนธุรกิจ Tender นั้น หลังจากที่บริษัทฯ ชนะงานประมูลผลิตถุงยางอนามัยองค์กร NGOs ของประเทศสหรัฐฯ มูลค่าประมาณ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 270-280 ล้านบาท) เมื่อปีที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในไตรมาส 4/59 และไตรมาส 1/60 มีการสั่ง
ผลิต และส่งมอบสินค้าเพียง 0.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเริ่มให้บริษัทฯ ผลิต และส่งมอบสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดยคาดว่าจะมีการส่งมอบสินค้าส่วนใหญ่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงาน ขณะที่แนวโน้มการแข่งขันด้านราคาในธุรกิจ Tender นั้น คาดว่าจะทรงตัว และค่อยๆ ลดระดับความรุนแรงลง
“เรามีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ให้ดีขึ้นในไตรมาส 2-4 ของปีนี้ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ โดยสถานการณ์ค่าเงินบาทที่เริ่มทรงตัว และมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อมาร์จิ้นในการส่งออกสินค้า โดยบริษัทฯ ได้มีการป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนในสิ้นไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 35.62 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนราคาน้ำยางพาราในปัจจุบันที่เริ่มปรับลดลง ก็จะเป็นผลดีกับการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตถุงยางอนามัย” นายอมร กล่าว