รมว.คลัง ยอมรับการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศที่ยังไม่ขยายตัวเท่าที่ควร พร้อมเห็นใจเอกชนชะลอลงทุนหลัง ศก. ในประเทศมีปัญหา ยันรัฐเรงดึงต่างชาติ-ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหวังจูงใจ
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวถึงการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศที่ยังไม่ขยายตัวเท่าที่ควรว่า ยอมรับว่ามีความเห็นใจภาคเอกชน เพราะก่อนจะตัดสินใจลงทุนหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากปัจจัยในหลายด้าน ทั้งในด้านความจำเป็น ด้านความคุ้มค่า และด้านการตลาด เป็นต้น ซึ่งภาครัฐเองก็จำเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อให้เอกชนเกิดความคุ้มค่า และจูงใจในการเข้ามาลงทุน หรือขยายการลงทุน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ ตลอดจนมาตรการด้านภาษี เป็นต้น
ทั้งนี้ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า ภาคเอกชนของไทยไปลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างมาก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวเศรษฐกิจของหลายประเทศประสบปัญหา ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ลดต่ำลง ดังนั้น นักลงทุนไทยจึงออกไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่า เพราะเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่าลงทุนในประเทศ
สำหรับประเทศไทยนั้น สิ่งที่รัฐบาลได้เร่งดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจูงใจให้นักลงทุนจากทั้งใน และต่างประเทศ เข้ามาลงทุน คือ การเร่งสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S Curve) รวมทั้งการเร่งสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเมื่อในส่วนนี้มีความพร้อม ก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความสนใจเข้ามาลงทุน และสิ่งนี้ก็จะเป็นตัวช่วยดึงดูดให้ภาคเอกชนของไทยลงทุนตามมากขึ้น
นายอภิศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีของเงินกู้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในโครงการรถไฟไทย-จีนว่า เรื่องแหล่งเงินกู้นั้น ไม่ได้ติดปัญหาที่กระทรวงการคลัง เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างรอรายละเอียดจากกระทรวงคมนาคมว่า จะเสนอขอกู้เงินในจำนวนเท่าใด ซึ่งแหล่งเงินกู้ก็มีพร้อมอยู่แล้ว ทั้งจากในประเทศ และต่างประเทศ รวมทั้งจากจีนเอง ซึ่งหากมีข้อเสนอการกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจก็สามารถกู้ได้ โดยขณะนี้กระทรวงการคลังได้เตรียมวงเงินกู้ 1.7 แสนล้านบาทไว้แล้วในแผนกู้เงินสำหรับปีงบประมาณรายจ่าย 61
รมว.คลัง ยังกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% เชื่อว่า จะสามารถสรุปออกมาเป็นมาตรการที่ชัดเจน เพื่อเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้มาตรการดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 61 (1 ต.ค.60) เป็นต้นไป