xs
xsm
sm
md
lg

เหตุใด? คณะกรรมการ และผู้นำของ บจ.ควรเชื่อมโยงกลยุทธ์ความยั่งยืน กับกลยุทธ์ธุรกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปัจจุบัน บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในโลกได้นำประเด็นด้านความยั่งยืนมาเป็นเครื่องมือช่วยคาดการณ์เพื่อนำทางให้ก้าวผ่านความผันผวนของเศรษฐกิจ อีกทั้งเพื่อรองรับความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งภายนอก และภายในองค์กรที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ การให้ความสำคัญต่อประเด็นด้านความยั่งยืน ยังใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับประเด็นสังคม และสิ่งแวดล้อมของธุรกิจ ซึ่งทำให้เห็นว่าประเด็นความยั่งยืนนี้ได้ถูกยกระดับจากเพียงแค่กิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ไปสู่การเป็นแกนหลักของกลยุทธ์ธุรกิจ และการวางแผนการดำเนินงานในระยะยาว

จากบทความ “Why boards and C-suites should fuse sustainability with strategy” ของ Terry F. Yosie ได้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง (C-suite) ของบริษัทขนาดใหญ่ในหลายภาคธุรกิจ ของประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง (C-suite) ของบริษัทเหล่านี้มีการตื่นตัวอย่างมากในการทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องความยั่งยืน เพราะเชื่อว่ามีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของตนอย่างมาก ซึ่งในปัจุจบัน คณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงเหล่านี้มีมุมมองที่ให้ความสำคัญต่อตัวชี้วัดความยั่งยืนของบริษัทใน 4 เรื่อง ได้แก่

1.การลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต
2.การทำธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
3.ความร่วมมือกับคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และบริการที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้
4.การปรับตัวของธุรกิจให้สามารถรองรับความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นในโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิากาศ การขาดแคลนทรัพยากรน้ำ การขยายตัวของจำนวนประชากร และเมือง

ตัวชี้วัดความยั่งยืนแต่ละตัวดังกล่าวข้างต้นสามารถเป็นทั้งความเสี่ยง และโอกาสอยู่ในตัว บริษัทจึงต้องรู้จักนำมาใช้อย่างรอบคอบ และระมัดระวัง และเมื่อประเด็นความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น บริษัทต้องสื่อสารเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทั้งภายใน และภายนอก เช่น พนักงาน ลูกค้า ผู้บริโภค และนักลงทุน เป็นต้น ที่สำคัญความท้าทายนี้จะถูกจัดการได้ดีขึ้น และสร้างความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น หากคณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูงสามารถเชื่อมโยงกลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์ความยั่งยืนของบริษัทให้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
 
ดังนั้น ในยุคที่ผู้มีส่วนได้เสียให้ต่อความสำคัญต่อผลการดำเนินงาน และประเด็นความยั่งยืนของบริษัทจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สร้างความอ่อนไหวต่อการดำเนินธุรกิจ การเป็นองค์กรที่ถูกยอมรับและได้ชื่อว่า “เป็นองค์กรที่ยั่งยืน” จึงเป็นจุดสำคัญที่พิสูจน์ความเป็นผู้นำของคณะกรรมการ และผู้บริหารระดับสูง

นอกจากนี้ คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูงที่เป็นกลุ่มตัวอย่างของการศึกษานี้ ยังเห็นว่าการบริหารจัดการที่ประยุกต์ตัวชี้วัดความยั่งยืนดังกล่าวเข้าไปสู่กลยุทธ์ธุรกิจ มีความสัมพันธ์กันใน 5 ประการ ดังนี้

1.ความเสี่ยง

คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าธุรกิจทั่วโลกกำลังเผชิญต่อความเสี่ยง และอุปสรรคใหม่ๆ ทั้งความเสี่ยงจากการผันผวนของราคา พลังงาน สินค้าเกษตร สภาพากาศที่เปลี่ยนแปลงและไม่เคยประสบมาก่อน ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลง และการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น ดังนั้น การริเริ่มที่จะปรับปรุงสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบ และความเข้าใจถึงแนวโน้มของความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทจัดระบบบริหารและป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลถึงความต่อเนื่องของธุรกิจได้อย่างชาญฉลาดทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

2.โอกาส

ประเด็นความยั่งยืนเป็นโอกาสช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของของทุน (Capital) ขณะเดียวกัน ช่วยลดต้นทุน และค่าใช้จ่ายจากการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance) และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพภายใน เช่น การจัดการสภาพแวดล้อมของสิ่งปลูกสร้าง (ได้แก่ อาคารสำนักงาน ศูนย์คอมพิวเตอร์ โรงงานผลิต เป็นต้น) นอกจากนี้ การวางแผน การติดตาม และการคำนึงถึงการใช้วัตถุดิบในการผลิตอย่างใส่ใจก็เป็นโอกาสนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่การส่งเสริมคู่ค้าให้ร่วมพัฒนาความยั่งยืนไปด้วยกันเป็นโอกาสให้คู่ค้าสร้าง ความยั่งยืนให้ตนเอง และนำไปสู่โอกาสสร้างความแข็งแรงให้แก่ห่วงโซ่อุปทานของบริษัท รวมถึงโอกาสเติบโตของผู้ประกอบการรายย่อยในสังคม สุดท้ายยังได้สร้างโอกาสให้เกิดขึ้นระหว่างลูกค้า และบริษัทโดยการให้ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าของการใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่โอกาสที่ขยายกว้างขึ้นของบริษัทที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน

3.นวัตกรรม

บริษัทใหญ่ๆ จำนวนมากที่เติบโตขึ้นโดยการใช้ประเด็นความยั่งยืนมาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งการทบทวนของเดิมที่มีอยู่ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น ธุรกิจผลิตรถยนต์ การผลิตวัสดุก่อสร้าง การจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีด้านพลังงาน เป็นต้น ซึ่งนวัตกรรมใหม่นี้สามารถสร้างผลกระทบทางบวกให้ผู้เกี่ยวข้อง รวมไปถึงช่วยพัฒนาทักษะการบริหารจัดการ และพัฒนาคุณภาพของแรงงานอีกด้วย

4.ความสามารถของบุคลากรด้านความยั่งยืน

การสรรหา และการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถเป็นเรื่องที่คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง (C-suite) ต้องคำนึงถึงเพื่อสร้างความมั่นใจในอนาคตของบริษัท ในขณะเดียวกัน ความรู้ความสามารถด้านการพัฒนาความยั่งยืนก็เริ่มเป็นทักษะที่ผู้สำเร็จการศึกษายุคใหม่จากโรงเรียนธุรกิจและวิศวกรรมชั้นนำให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่างให้แก่ตนเองให้เป็นที่สนใจของบริษัทชั้นนำด้านความยั่งยืน และในอีกด้านหนึ่งคนรุ่นใหม่เองก็เลือกที่จะร่วมงานกับบริษัทที่ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างคำนึงถึงเรื่องความยั่งยืนด้วยเช่นกัน

5.ความเป็นเลิศ

การขยายตัวทางการค้าและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงต้องพยายามรักษาความสามารถในการแข่งขันของตนเองทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ เพื่อมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศเหนือคู่แข่ง ดังนั้น การฝึกฝนความเป็นเลิศจึงต้องเริ่มจากการพัฒนาทักษะ และประสบการณ์ตั้งแต่ระดับบุคคล ทีมงาน ตลอดจนในห่วงโซ่คุณค่าของบริษัท นั่นแสดงว่า บริษัทไม่สามารถเติบโตได้อย่างลำพังโดยละเลยต่อห่วงโซ่คุณค่าของตนเอง บริษัทต้องพัฒนา และแสดงออกถึงความยั่งยืนของตนเองด้วยการนำเสนอแนวคิด และตัวชี้วัดต่างๆ ผ่านการเปิดเผยข้อมูล หรือการจัดทำรายงานความยั่งยืน รวมถึงการกำหนดเป้าหมายและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดเพื่อเสริมสร้างบทบาทการเป็นธุรกิจที่เป็นเลิศไปพร้อมกับใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า คณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง (C-suite) ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การบูรณาการกลยุทธ์ความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ นอกจากจะช่วยรักษาใบอนุญาตทางสังคมของบริษัท (License to Operate) ในเบื้องต้นแล้ว ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยขับเคลื่อนให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง และยั่งยืนในระยะยาว ท่ามกลางความแปรปรวนของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
กำลังโหลดความคิดเห็น