ผู้อำนวยการ สคร. เผยรัฐบาลเตรียมผลักดันโครงการงทุน PPP ของกระทรวงคมนาคมในปีนี้เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ มูลค่า 1.4 แสนล้าน ส่วนความคืบหน้าการทำ PPP ในรอบ 9 เดือนของปีงบฯ 60 รัฐบาลทำผลงานไปได้ 1.9 แสนล้านบาท จากโครงการลงทุนรถไฟฟ้า 3 สาย เผยปีหน้าคมนาคมยังเตรียมทำโครงการลงทุนแบบ PPP เพิ่มอีก 6 แสนล้าน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวถึงแผนการผลักดันให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐใสโครงการขนาดใหญ่ (PPP) ว่า ในปีนี้รัฐบาลมีผลักดันโครงการลงทุนดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 140,000 ล้านบาท โดยกระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะทำ PPP ในอีก 2 โครงการการบริหารจัดการและซ่อมบำรุง (Operate and Maintainace) ในโครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี และโครงการบางปะอิน-โคราช มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.4 แสนล้านบาท โดยคาดว่ากระบวนการจัดทำการลงทุน PPP จะแล้วเสร็จได้ภายในปีนี้
ส่วนความคืบหน้าในการผลักดันโครงการลงทุน PPP ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 60 นั้น รัฐบาลสามารถได้ผลักดันได้แล้วใน 3 โครงการ โดยมีมูลค่าการลงทุนแบบ PPP รวมกัน 190,000 ล้านบาท ในโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ มูลค่าโครงการ 83,877 ล้านบาท, โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแค่ราย-มีนบุรี วงเงินลงทุน 56,691 ล้านบาท, และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มูลค่า 54,644 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ สคร. ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีหน้ากระทรวงคมนาคมยังเตรียมที่จะเสนอโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยใช้รูปแบบ PPP อีก 600,000 ล้านบาท โดยอาจจะเป็นการทยอยดำเนินการก็ได้ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เส้นทางเตาปูน-วงแหวนกาญจนาพิเศษ รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าตามเมืองใหญ่ คือ เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น
นายเอกนิติ ยังกล่าวต่ออีกว่า การที่รัฐบาลสามารถเร่งรัดการลงทุนแบบ PPP ได้รวดเร็วกว่าในอดีตนั้น เป็นผลมาจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ PPP Fast Track ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการ PPP จนทำให้ร่นระยะเวลาทำโครงการ PPP ลงเหลือ 9 เดือน จากที่เคยใช้ระยะเวลาถึง 25 เดือน
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สรร. ยังย้ำถึงความคืบหน้าในการแก้ไข พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อเร่งรัดกระบวนการลงทุน PPP ให้เร็วกว่า 9 เดือนนั้น ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะนำกรอบการทำงานของ PPP Fast Track ที่เป็นการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการ PPP มาบรรจุในร่างแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ด้วย เช่น การเปิดเผยข้อมูลหลังการทำสัญญาโครงการแล้วต่อสาธารณะชน และหน่วยงานอิสระต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อที่จะทำให้การลงทุนตามรูปแบบของ PPP มีความรวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวถึงแผนการผลักดันให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับรัฐใสโครงการขนาดใหญ่ (PPP) ว่า ในปีนี้รัฐบาลมีผลักดันโครงการลงทุนดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 140,000 ล้านบาท โดยกระทรวงคมนาคมมีแผนที่จะทำ PPP ในอีก 2 โครงการการบริหารจัดการและซ่อมบำรุง (Operate and Maintainace) ในโครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี และโครงการบางปะอิน-โคราช มูลค่าเงินลงทุนรวม 1.4 แสนล้านบาท โดยคาดว่ากระบวนการจัดทำการลงทุน PPP จะแล้วเสร็จได้ภายในปีนี้
ส่วนความคืบหน้าในการผลักดันโครงการลงทุน PPP ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 60 นั้น รัฐบาลสามารถได้ผลักดันได้แล้วใน 3 โครงการ โดยมีมูลค่าการลงทุนแบบ PPP รวมกัน 190,000 ล้านบาท ในโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย คือ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ มูลค่าโครงการ 83,877 ล้านบาท, โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแค่ราย-มีนบุรี วงเงินลงทุน 56,691 ล้านบาท, และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง มูลค่า 54,644 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการ สคร. ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีหน้ากระทรวงคมนาคมยังเตรียมที่จะเสนอโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยใช้รูปแบบ PPP อีก 600,000 ล้านบาท โดยอาจจะเป็นการทยอยดำเนินการก็ได้ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ เส้นทางเตาปูน-วงแหวนกาญจนาพิเศษ รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าตามเมืองใหญ่ คือ เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น
นายเอกนิติ ยังกล่าวต่ออีกว่า การที่รัฐบาลสามารถเร่งรัดการลงทุนแบบ PPP ได้รวดเร็วกว่าในอดีตนั้น เป็นผลมาจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ PPP Fast Track ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการ PPP จนทำให้ร่นระยะเวลาทำโครงการ PPP ลงเหลือ 9 เดือน จากที่เคยใช้ระยะเวลาถึง 25 เดือน
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สรร. ยังย้ำถึงความคืบหน้าในการแก้ไข พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เพื่อเร่งรัดกระบวนการลงทุน PPP ให้เร็วกว่า 9 เดือนนั้น ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะนำกรอบการทำงานของ PPP Fast Track ที่เป็นการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาโครงการ PPP มาบรรจุในร่างแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ด้วย เช่น การเปิดเผยข้อมูลหลังการทำสัญญาโครงการแล้วต่อสาธารณะชน และหน่วยงานอิสระต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อที่จะทำให้การลงทุนตามรูปแบบของ PPP มีความรวดเร็ว และโปร่งใสมากขึ้น