xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ว่าการ ธปท.ชี้ Fintech จะเปลี่ยนโฉมการเงินโลก แนะปรับตัวให้ทัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ผู้ว่าการ ธปท.ชี้ฟินเทค (Fintech) จะเปลี่ยนโฉมการเงินโลก แนะปรับตัวให้ทันเพื่อรับประโยชน์จากโลกการเงินยุคใหม่

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “บทบาทของภาคการเงินไทยสำหรับอนาคต” โดยระบุว่า เทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นสำหรับภาคการเงินไทย และภาคการเงินโลกในอนาคต โดยมองว่า ฟินเทคจะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของภาคการเงินได้ใน 5 มิติ กล่าวคือ

มิติแรก ทำให้บทบาทในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางของสถาบันการเงินระหว่างผู้ที่มีเงินออมกับผู้ที่ต้องการเงินลดลง เนื่องจากจะมีการให้บริการปล่อยกู้แบบ P to P ได้โดยตรงระหว่างผู้ที่มีเงินออม กับผู้ที่ต้องการเงินโดยที่ไม่ต้องผ่านสถาบันการเงิน ตลอดจนบริการชำระเงินรูปแบบใหม่ เช่น E-wallet ที่ไม่จำเป็นต้องมีบัญชีเงินฝาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ฟินเทคสามารถลดความสำคัญในการเป็นตัวกลางของสถาบันการเงินลงได้

มิติที่สอง ระบบทะเบียนกลางของภาคการเงินจะถูกทดแทนด้วยระบบทะเบียนแบบกระจายตัว ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้องรอตรวจเช็กข้อมูลจากระบบทะเบียนกลาง หรือศูนย์ข้อมูลกลาง แต่ข้อมูลที่สำคัญจะกระจายลงไปยังแต่ละที่ ซึ่งช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการทำงานให้มีความโปร่งใสมากขึ้น และลดการทำงานในหลายขั้นตอนลงได้

มิติที่สาม สมาร์ทโฟนจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการทำธุรกรรมทางการเงิน และสามารถเชื่อมต่อการบริการทางการเงินกับประเทศอื่นๆ ได้อย่างสะดวก และไร้พรมแดน ซึ่งในอนาคตการเปิดสาขา และการให้บริการตู้เอทีเอ็ม จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ

มิติที่สี่ พรมแดนของประเทศจะมีความสำคัญน้อยลง เนื่องจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าสามารถทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้นภายในเวลาเสี้ยววินาที ช่วยสร้างทางเลือกให้ภาคธุรกิจ และประชาชนในด้านการออมเงิน หรือระดมทุนระหว่างประเทศได้มากขึ้น

มิติที่ห้า ข้อมูลรายธุรกรรม หรือ Big Data จะมีความสำคัญมากขึ้นในภาคการเงิน เนื่องจากจะเป็นฐานรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง ซึ่งฐานข้อมูลนี้ถือเป็นรากฐานที่จำเป็นต่อโลกการเงินในยุคใหม่

นายวิรไท ยังกล่าวถึงบทบาทของฟินเทคที่จะตอบโจทย์การพัฒนาประเทศว่า เมื่อมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจ และสังคมโลกต้องเผชิญกับ 4 ภาวะที่สำคัญ คือ ความผันผวน ความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และการยากต่อการคาดเดา ดังนั้น การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยภาคการเงินจะมีความสำคัญมาก เปรียบเสมือนกับเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ ดังนั้น คุณสมบัติที่สำคัญของภาคการเงินที่จะตอบโจทย์อนาคตของประเทศได้นั้น จะต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.ช่วยเพิ่มผลิตภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ 2.ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ระบบเศรษฐกิจ ลดการเกิดความเปราะบางที่อาจจะเกิดจากวิกฤตในอนาคต และ 3.ต้องมีบทบาทในการกระจายผลประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง ซึ่งฟินเทคจะเป็นปัจจัยสำคัญมากที่สุดปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในภาคการเงิน

ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวด้วยว่า การจะใช้ฟินเทคให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่จะต้องมีการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี โดยต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้รองรับกับการทำงานในรูปแบบดิจิตอลมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐเองจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้กำกับมาเป็นผู้ให้การสนับสนุนมากขึ้น โดยในส่วนของ ธปท.ได้เปิดให้มีศูนย์ทดสอบนวัตกรรมการเงิน (Regulatory Sandbox) เพื่อใช้เป็นสนามทดสอบก่อนให้บริการจริงแก่ผู้บริโภค ซึ่งล่าสุดในเดือน พ.ค. ได้อนุญาตไปแล้ว 1 โครงการ และภายในเดือนมิ.ย.นี้ จะมีเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ นอกจากนี้ ภาครัฐจะต้องมีการปรับกระบวนการทำงานให้ทันกับโลกยุคดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา ธปท.ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงินให้มีความทันสมัย และทันต่อรูปแบบการบริหารธุรกิจ และการบริหารความเสี่ยงในโลกยุคใหม่ได้มากขึ้น

“Digital Technology กำลังจะเปลี่ยนแปลงโลก ในขณะที่ Fintech จะพลิกโฉมการเงินโลกในทุกมิติ เราไม่สามารถชะลอกระแสการเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราต้องก้าวให้ทัน และให้ภาคการเงินของไทยมีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทยทุกคน” ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น