แอล เอช ฟันด์ คาดตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังมีลุ้นดัชนีปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,650 จุด จากปัจจัย ธปท.ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็น 3.4% จากเดิม 3.2% แต่คาดมีโอกาสที่ดัชนี และราคาหุ้นจะผันผวนมากขึ้น ชี้การลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมยังมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ แอล เอช ฟันด์ เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง ถึงแม้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงกว่า 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นมากนัก โดยปัจจัยที่กดดันดัชนีส่วนใหญ่มาจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมือง และเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และประเทศในกลุ่มยูโรโซน อาทิ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การกำหนดนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีผลกระทบกับประเทศในเอเชีย โดย แอล เอช ฟันด์ คาดการณ์แนวโน้มดัชนีครึ่งปีหลัง มีโอกาสปรับขึ้นมาที่ระดับ 1,650 จุด หรือสูงกว่านั้นได้
สำหรับปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะได้รับผลดีจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่คาดการณ์จะเติบโตได้ดี หลังจากที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเพิ่มประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.4% จากเดิม 3.2% ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายเดินหน้าลงทุนโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
“เรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม วิเคราะห์ว่า ดัชนี และราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ทั้งแนวโน้มการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อีก 2 ครั้งในปีนี้ การปรับลดขนาดสินทรัพย์ในงบดุลของเฟด และปัจจัยอื่นๆ ทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตลอดจนปัจจัยทางการเมือง และเศรษฐกิจในยูโรโซน ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด” นายมนรัฐ กล่าว
กรรมการผู้จัดการ แอล เอช ฟันด์ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวการลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวม เป็นทางเลือกที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดี อาทิ กองทุนเปิด แอล เอช โกรท (LHGROWTH) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต เหมาะสำหรับการเก็บสะสมเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว, กองทุนเปิด แอล เอช สแทรทิจี อิควิตี้ (LHSTRATEGY) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นผันผวนต่ำ (Low Beta) เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ดัชนีมีความผันผวน หรือปรับลดลง โดยคาดว่า กองทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ หากดัชนีปรับตัวขึ้นไปที่ 1,650 จุด ตามที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ แอล เอช ฟันด์ ยังมีทีมงานที่มีประสบการณ์ และเชี่ยวชาญการบริการจัดการกองทุนที่ลงทุนในหุ้น และสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560 บลจ.มีกองทุนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 ดาว จากมอร์นิ่งสตาร์ ไทยแลนด์ จำนวน 4 กองทุน แบ่งเป็น 1.กองทุนที่ลงทุนในหุ้น 1 กองทุน (3 Class) ได้แก่ กองทุนเปิด LHGROWTH-D LHGROWTH-R และ LHGROWTH-A ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการเติบโต 2.กองทุน LHFLRMF มีนโยบายการลงทุนแบบผสมที่ลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ 3.กองทุน LHTPROP ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น หรือตราสารกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และ 4.กองทุน LHDEBT-D ชนิดจ่ายเงินปันผล ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้
“ปัจจุบัน นักลงทุนยังคงให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนกับ แอล เอช ฟันด์ เนื่องจากเราเป็น บลจ.ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นทางเลือกกระจายการลงทุน โดยคาดว่า หากดัชนีหุ้นไทยในครึ่งปีหลังปรับตัวขึ้นตามที่คาดการณ์ กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้” นายมนรัฐ กล่าว