นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A (ชนิดจ่ายเงินปันผล) หรือ K-USXNDQ-A(div) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560-31 พฤษภาคม 2560, กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน (K-CHINA) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2559-31 พฤษภาคม 2560, กองทุนเปิดเค โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ หุ้นทุน (K-GINFRA) ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560-31 พฤษภาคม 2560 และกองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่น (K-GA) ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2559-31 พฤษภาคม 2560 โดยทั้ง 4 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 08.00 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมกันในวันที่ 14 มิถุนายน 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 545.78 ล้านบาท
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกองทุน K-USXNDQ-A(div) ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาสามารถปรับตัวเป็นบวก 8.02% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 7.99% (ข้อมูล ณ 31 พ.ค. 60) เนื่องจากกองทุนหลักใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรับ (passive) ที่มุ่งหวังให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี NASDAQ-100 ซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิง ทั้งนี้ ในดัชนีดังกล่าวจะประกอบไปด้วยหุ้นในกลุ่มไอทีเป็นส่วนใหญ่ โดยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/2560 ที่ออกมา หุ้นในกลุ่มไอทีมีผลประกอบการดีกว่าค่าเฉลี่ยและนำเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น จึงส่งผลให้กองทุน K-USXNDQ-A(div) ที่ลงทุนในหุ้นตามดัชนี NASDAQ-100 มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในรอบบัญชีที่ผ่านมา
“ภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้นักวิเคราะห์กว่า 90% คาดว่า FED น่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.นี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ตลาดยังคงติดตามคือความชัดเจนของทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกภูมิภาค โดยเฉพาะความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศต่างๆ” นายนาวินกล่าว
ส่วนมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นจีน นายนาวินกล่าวว่า ตลาดหุ้นจีนยังมีความน่าสนใจด้วยมุมมองการลงทุนในระยะกลางถึงยาว โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัวดีกว่าคาดในไตรมาส 1/2560 โดย GDP ขยายตัว 6.9% จากปีก่อน จากการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และการขยายตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ภาคส่งออกได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์โลก ประกอบกับจีนยังมีมาตรการควบคุมทางการเงิน รวมถึงมาตรการป้องกันการขยายตัวของสินเชื่อที่เร็วเกินไปจนอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ หุ้นจีนยังมีความน่าสนใจในแง่ของระดับราคาที่ปัจจุบันยังซื้อขายอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวและถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า “ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-CHINA ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 26.72% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 28.90% (ณ วันที่ 31 พ.ค. 60) ทั้งนี้ กองทุนหลักมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานเล็กน้อย จากกลยุทธ์การบริหารที่มุ่งเน้นการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า และการลดสัดส่วนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตที่ผลกำไรบริษัทออกมาดี แต่ราคาแพง ประกอบกับธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีผลประกอบการชะลอตัวในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม กองทุนได้รับแรงหนุนจากธุรกิจหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคและวัสดุก่อสร้าง จึงทำให้ผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจและสามารถจ่ายปันผลในรอบบัญชีนี้ได้”
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-GINFRA ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับดัชนีโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก โดยได้รับอานิสงส์จากการคัดเลือกหุ้นเป็นหลัก โดยผลการดำเนินงานในรอบ 3 เดือนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.77% โดยเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 6.75% (ณ วันที่ 31 พ.ค. 60) ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก เนื่องจากมีปัจจัยสนันสนุนจากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้านกองทุน K-GA ซึ่งมีนโยบายกระจายลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก มีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 9.08% ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานอยู่ที่ 9.37% ทั้งนี้กองทุนได้รับแรงหนุนจากหุ้นทั่วโลกที่ต่างปรับตัวบวก โดยหุ้นหลายประเทศแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช่น สหรัฐฯ อินเดีย เกาหลีใต้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนราคาตราสารหนี้ ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา