เปิดศักราชใหม่ 2017 กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตลาดหุ้นได้กลับมาเปิดซื้อขายกันอีกครั้ง สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นมาเกิน 10 ปี น่าจะมีอาการคล้ายๆ กับผมที่เริ่มจะเห็นปรากฏการณ์ “เดจาวู” ในหลายๆ อย่าง ที่ดูแล้วช่างคล้ายกับปี 2007 หรือสิบปีที่แล้วอย่างไงอย่างนั้น ลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง
ข้อแรก..สินค้าโภคภัณฑ์จะกลับมาร้อนแรง ที่จริงแล้วก็เริ่มร้อนแรงมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยผลตอบแทนหุ้นกลุ่มดังกล่าวในตลาดหุ้นไทย อย่างเช่น พลังงาน ปิโตรเคมี เหล็ก สินค้าเกษตร ปรับตัวขึ้นกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา เรายังได้เห็นราคายางพารา ราคาเหล็ก ทั้งในและต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากนำทฤษฎีวัฏจักรของราคามาใช้อธิบายก็ถือว่าสมเหตุผล เพราะตั้งแต่หลังวิกฤตปี 2008 ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นขาลงมาต่อเนื่อง หลังเกิดปรากฏการณ์ Super Bullish มาตั้งแต่ปี 2006 ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงถึงระดับ 141 เหรียญต่อบาร์เรลในเดือนกันยายนปี 2008 ก่อนจะพังทลายอย่างไม่คาดฝันในอีกไม่กี่เดือน
ถึงขณะนี้นักลงทุนทั่วโลกยังมองตรงกันว่าสินค้าโภคภัณฑ์จะยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ โดยโกลด์แมน แซคส์ ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมองไปที่ความต้องการใช้ Hard Commodity อย่างแร่เหล็ก จะกลับมาเติบโตต่อเนื่อง ตลอดจนการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก คาดว่าจะทำให้ราคาน้ำมันในปีนี้ยังคงทรงตัวในระดับสูงได้ อาจจะขึ้นต่อไม่ได้เยอะมาก แต่จะไม่ลงมาสร้างจุดต่ำสุดอีก
ประกอบกับเงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้น จากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ดีวันดีคืนจนนำไปสู่แผนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้งในปีนี้ เงินเฟ้อจะเป็นแรงผลักดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี (ยกเว้นทองคำที่ดูจะกลายเป็นสินค้าที่อ้างอิงกับค่าเงินดอลลาร์โดยตรงไปแล้ว)
สรุปคือ สินค้าโภคภัณฑ์ในปีนี้น่าจะเป็นขาขึ้น แต่ขอให้ระวังเพราะขึ้นมาพอสมควรแล้วตั้งแต่ปีก่อน และยังไม่เห็นปัจจัยบวกอะไรที่จะทำให้เกิด Super Bullish แบบ 10 ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมให้ข้อมูลไว้ละกันว่า สินค้าโภคภัณฑ์มักจะ Bullish ในช่วงปลายของตลาดขาขึ้นเสมอ และจะปิดเกมด้วยหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ จากนั้นตลาดมักจะพังเสมอ.. (ไม่เชื่อลองหาข้อมูลในช่วงปี 2008 ดู)
ข้อสอง..ต้นเหตุของวิกฤตการเงินจะเริ่มเห็นในปีนี้ หากย้อนกลับไปในปี 2007 คำว่า “สินเชื่อซับไพรม์” เริ่มเป็นที่คุ้นหูคุ้นตากันบ้างแล้ว และเริ่มสร้างความเสียหายให้แก่สถาบันการเงินสหรัฐฯ ไปบ้างแล้ว อย่างเช่น แบร์สเติร์น, Freddie May, Fandy Mac แต่ตอนนั้นทุกคนยังไม่คิดว่านี่คือต้นตอของวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2008 ซับไพรม์ไครซิส ก็แผลงฤทธิ์ด้วยการทำให้เลห์แมน บราเดอร์ วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของโลกต้องล้มละลายเพราะผิดนัดชำระหนี้ จากนั้นตลาดหุ้นทั่วโลกก็ถูกเทขายอย่างหนัก จนลุกลามไปถึงภาคเศรษฐกิจจริงทั่วโลก
ปี 2017 ถ้าเชื่อในทฤษฎีที่ว่าทุก 10 ปีจะเกิดวิกฤต ปีนี้จะเริ่มเห็นต้นตอของปัญหาเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้น และสร้างปัญหาให้ตลาดการเงินในปีต่อไป ที่ผ่านมา เราไปกะเก็งกันว่าถ้าจะเกิดวิกฤต ต้นตอของปัญหาจะคืออะไร อาจจะธนาคารในยุโรป ธนาคารในจีน หรือแม้แต่สหรัฐฯ เองที่อาจสร้างปัญหาด้วยตัวเอง เพราะเศรษฐกิจโตไม่จริง ไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ก็เป็นได้
ทั้งนี้ อย่าพยายามไปเก็งว่าจะเกิดวิกฤตขึ้นเมื่อไร เพราะหากเรารู้ว่านี่คือวิกฤตมันจะไม่ใช้วิกฤต และหากเกิดวิกฤตจริง ตลาดหุ้นต้องปรับฐานในระดับ 30-50% ขึ้นไปขึ้นอยู่กับระดับความแรงของปัญหา
ข้อสาม..หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นไทยทำนิวไฮก่อนจะปรับฐานใหญ่ หากย้อนกลับไปสิบปีที่แล้ว ดัชนี Dow Jones ได้ขึ้นไปทำนิวไฮที่ระดับ 14,000 จุด ส่วนหุ้นไทยก็ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2004 ที่ระดับประมาณ 950 จุด (จำได้ช่วงนั้นโบรกเกอร์หลายแห่งให้เป้าหมายที่ 1,000 จุด) ก่อนที่ 2 ตลาดจะพักฐานใหญ่ และ Bearish ในปีต่อมา
ย้อนกลับมาปีที่แล้ว หุ้นสหรัฐฯ ได้ทำนิวไฮใหม่ที่ 20,000 จุด ส่วนหุ้นไทยก็ขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมายที่ระดับ 1,550 จุด ถึงเวลานี้นักวิเคราะห์หลายค่ายมองว่าหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 1,650 จุด ซึ่งทดสอบหลายครั้งแล้วไม่เคยผ่าน หากผ่านไปได้ก็จะสร้างนิวไฮใหม่ ก่อนจะปรับฐานใหญ่ในปีต่อไป (หรือไม่?)
ผมขอยกบทความของ ครูไก่ กนิษฐา รอดดำ หนึ่งในพาร์ตเนอร์ของ Super Trader Republic วิเคราะห์ SET Index โดยใช้ทฤษฎีคลื่น (Elliot Wave) ตลาดหุ้นไทยถือว่าอยู่ในช่วง Sideway ของ Wave 4 ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,450-1,600 จุด หาก SET Index สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในปี 2560 จะเป็นการเข้าสู่ Wave 5 ทำให้หุ้นไทยสามารถขึ้นไปทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 1,650 1,750 หรือ 1,900 จุด (เป็นเพียงความน่าจะเป็นตามทฤษฎี)
อย่างไรก็ตาม การขึ้นของ SET Index ในปีนี้จะเป็นการขึ้นเพื่อจบรอบตลาดขาขึ้นและเข้าสู่จุดเริ่มต้นของขาลงเต็มตัว ซึ่งสอดคล้องต่อตัวเลขที่ว่าทุก 10 ปี จะต้องมีวิกฤต
เห็นได้ว่าตลาดหุ้นปี 2007 และ 2017 มีจุดที่คล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อหลายจุด ทั้งนี้ ผมไม่ขอเป็นพ่อหมอพยากรณ์ แต่ขอยกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตเป็นตัวอย่าง และขอให้ทุกท่านเสพข้อมูลอย่างมีสติ และใช้โลจิกในการตัดสินใจนะครับ
นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
SuperTrader รายการเรียลลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง