ซุปเปอร์ซาร่า ยอมจ่ายภาษีศุลกากรนำเข้ารถเมล์เอ็นจีวีล็อตแรก 100 คัน บวกค่าปรับภาษีอีก 2 เท่า และภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่ขาด รวมคันละ 3.7 ล้านบาท แต่ยังไม่ยื่นเอกสารขอขนรถเมล์อีก 291 คันออกจากท่าเรือแหลมฉบัง อธิบดีศุลกากร ระบุให้เวลา 2 เดือนครึ่งนับแต่วันที่สินค้าเข้าถึงเมืองไทย หากยังไม่ยื่นใบขน เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะนำออกขายทอดตลาด
นายชัยยุทธ คำคูณ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี ให้บริษัท เบสท์ริน จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ยินยอมวางเงินประกันเพื่อขอนำรถเมล์ 1 คัน จากล๊อตแรก 100 คันที่ได้ยื่นใบขนสินค้ากับกรมศุลกากรแล้ว โดยบริษัทซุปเปอร์ซาร่า ได้จ่ายค่าภาษีส่วนที่ขาดคันละ 1,200,000 ล้านบาท พร้อมทั้งได้จ่ายค่าปรับภาษี 2 เท่า และภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนที่ขาด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,700,000 บาท/คัน
สำหรับรถเมล์เอ็นจีวี ที่เหลืออีก 291 คัน ซึ่งนำเข้ามายังท่าเรือแหลมฉบังแล้วก่อนหน้า แต่บริษัทซุปเปอร์ซาร่า ยังไม่ได้ยื่นใบขนต่อกรมศุลกากร ดังนั้น จึงยังไม่เข้าข่ายสำแดงเอกสารที่เป็นเท็จเหมือนกรณีรถเมล์ 100 คันแรก โดยมีแนวโน้มว่า บริษัทผู้นำเข้ายินดีที่จะเสียภาษีในอัตราปกติ คือ 40% และรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งคิดเป็นมูลค่าภาระภาษีรวมกัน 422 ล้านบาทนั้น บริษัทมีสิทธิที่จะขอสงวนสิทธิ์ทำการโต้แย้งในภายหลัง นอกจากนี้ บริษัทซุปเปอร์ซาร่า ยังจะมีการขอนำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี อีก 98 ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ามายังท่าเรือในประเทศไทยแล้ว แต่บริษัทผู้นำเข้ายังไม่ยืนใบส่งสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร ภายใน 2 เดือนครึ่ง กรมศุลกากรจะถือว่าสินค้าดังกล่าวนั้น เป็นของตกค้าง และเจ้าหน้าที่สามารถนำออกขายทอดตลาดได้ โดยรถเมล์เอ็นจีวี ทั้ง 291 คันนั้น ได้มีการนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เดือน ธ.ค. และยังไม่ได้ยื่นเอกสารเพื่อขอขนสินค้าออกจากท่าเรือแหลมฉบัง
นายชัยยุทธ คำคูณ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี ให้บริษัท เบสท์ริน จำกัด ซึ่งเป็นคู่สัญญากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้ยินยอมวางเงินประกันเพื่อขอนำรถเมล์ 1 คัน จากล๊อตแรก 100 คันที่ได้ยื่นใบขนสินค้ากับกรมศุลกากรแล้ว โดยบริษัทซุปเปอร์ซาร่า ได้จ่ายค่าภาษีส่วนที่ขาดคันละ 1,200,000 ล้านบาท พร้อมทั้งได้จ่ายค่าปรับภาษี 2 เท่า และภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนที่ขาด รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,700,000 บาท/คัน
สำหรับรถเมล์เอ็นจีวี ที่เหลืออีก 291 คัน ซึ่งนำเข้ามายังท่าเรือแหลมฉบังแล้วก่อนหน้า แต่บริษัทซุปเปอร์ซาร่า ยังไม่ได้ยื่นใบขนต่อกรมศุลกากร ดังนั้น จึงยังไม่เข้าข่ายสำแดงเอกสารที่เป็นเท็จเหมือนกรณีรถเมล์ 100 คันแรก โดยมีแนวโน้มว่า บริษัทผู้นำเข้ายินดีที่จะเสียภาษีในอัตราปกติ คือ 40% และรวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งคิดเป็นมูลค่าภาระภาษีรวมกัน 422 ล้านบาทนั้น บริษัทมีสิทธิที่จะขอสงวนสิทธิ์ทำการโต้แย้งในภายหลัง นอกจากนี้ บริษัทซุปเปอร์ซาร่า ยังจะมีการขอนำเข้ารถเมล์เอ็นจีวี อีก 98 ซึ่งทั้งหมดนี้ยังอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการนำเข้าสินค้ามายังท่าเรือในประเทศไทยแล้ว แต่บริษัทผู้นำเข้ายังไม่ยืนใบส่งสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร ภายใน 2 เดือนครึ่ง กรมศุลกากรจะถือว่าสินค้าดังกล่าวนั้น เป็นของตกค้าง และเจ้าหน้าที่สามารถนำออกขายทอดตลาดได้ โดยรถเมล์เอ็นจีวี ทั้ง 291 คันนั้น ได้มีการนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เดือน ธ.ค. และยังไม่ได้ยื่นเอกสารเพื่อขอขนสินค้าออกจากท่าเรือแหลมฉบัง