xs
xsm
sm
md
lg

“มนตรี เมย์แบงก์” คาดปีหน้า SET ปรับตัวดีแตะ 1,650 จุด เหตุเศรษฐกิจในประเทศทยอยฟื้นตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

 นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET
ประธานบอร์ด เมย์แบงก์ คาดปีหน้าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวอย่างชัดเจน ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 20% เผยมีงาน IB ในมือครบทั้ง M&A, REITS, Infrastructure Fund และนำ บจ.ใหม่เข้าจดทะเบียน ขายหุ้น IPO ใน ตลท.แนะนักลงทุนจับตาปัจจัยต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ชี้ SET Index อาจทะยานแตะ 1,650 จุด จากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่จะทยอยฟื้นตัวขึ้น

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวแผนธุรกิจของบริษัทว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายกำไรสุทธิปี 2560 คาดว่าน่าจะเติบโตได้ประมาณอย่างน้อย 15-20% จากปีนี้ โดยในปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานวาณิชธนกิจ (IB) ที่จะสามารถดำเนินการได้ในปีหน้า ซึ่งแบ่งเป็นงาน M&A จำนวน 3-4 ราย, การนำทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITS เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 2-3 กอง, และนำกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure Fund เข้าทำการจดทะเบียนซื้อขายใน ตลท.อีกจำนวน 3-4 กอง และการนำบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้าจดทะเบียนซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ IPO อีกประมาณ 5-6 บริษัท โดยมีขนาดธุรกิจขนาดใหญ่ และเล็กตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท จนถึง 10,000 ล้านบาท

“ปีนี้บริษัทฯ ยอมรับว่า รายได้และกำไรสุทธิต่ำกว่าปีก่อน โดย 9 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน) มีรายได้อยู่ที่ 2,722.49 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 726.52 ล้านบาท ต่างจากปีก่อน ซึ่งมีรายได้กว่า 4,175.63 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 1,019.23 ล้านบาท ส่วนหนึ่งนั้น มองว่า เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวลดลง และงาน IB มีรายได้เพียง 50 ล้านบาท จากเดิมทำได้ราว 100 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถปิดดีลได้ และมีการเลื่อนการเจรจาออกไป”

ขณะที่ในด้านของเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจโบรกเกอร์นั้น บริษัทตั้งเป้าว่า ในปี 2560 จะมีอัตราที่เติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 9-10% จากปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 8.5% เนื่องจากได้มีการพัฒนากลยุทธ ด้วยการยกระดับกลุ่มเมย์แบงก์ ประเทศไทย ให้เป็นศูนย์พัฒนานวัตกรรม (Innovation) ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯ ให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต พร้อมกันนี้ก็ได้มีการตั้งเป้าหมายในการขยายฐานบัญชีลูกค้าทั้งลูกค้าบุคคล สถาบันต่างประเทศ สถาบันในประเทศ ให้เพิ่มขึ้นเป็น 190,000 บัญชี จากปัจจุบันมีลูกค้าเฉลี่ย 170,000 บัญชี โดยจะเน้นรูปแบบอินเทอร์เน็ตเทรดเดอร์มากขึ้น

นอกจากนี้ ในส่วนของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปีหน้า มองว่าจะเติบโตมากถึง 10% เทียบจากที่ปีนี้มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญที่เป็นส่วนสนับสนุนนั้น มาจากเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าหนี้ครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับสูงถึง 80% แต่ภาระการผ่อนชำระผูกพันธ์เริ่มผ่อนคลายลง จะเห็นได้ชัดเจนจากโครงการรถคันแรกที่หมดลง ตลอดจนถึงกำลังซื้อในภาคเกษตรกรที่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปริมาณน้ำที่สำรองในเขื่อนมีปริมาณมากเพียงพอที่จะช่วยบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้งในปีหน้าได้ และอีกประการสำคัญ คือ การที่คนไทยได้ผ่านช่วงเวลาอันโศกเศร้า และมีการเปลี่ยนผ่านไปในทางที่ดีขึ้นในรัชกาลใหม่

ทั้งนี้ สิ่งที่นักลงทุนยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์ภายนอกประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า และราคาน้ำมันที่ยังคงมีความผันผวน และคาดว่าจะปรับสูงขึ้นอีก หรืออาจจะเคลื่อนไหวในระดับที่มากกว่า 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องมาจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และนอกโอเปก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศอิตาลี และประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งในเรื่องของการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ของประเทศอังกฤษ (Brexit ) ซึ่งยังอยู่ในระบวนการพิจารณาตัดสินของศาลสูง อย่างไรก็ตาม ประเมินดัชนี SET Index ปี 2560 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด ซึ่งหากธุรกิจหลักทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น ก็น่าจะส่งผลทำให้บริษัทฯ มีผลการดำเนินที่ดีขึ้นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น