“สนพ.” เผยราคาน้ำมันมีสัญญาณขาขึ้นหลังโอเปกมีมติร่วมลดกำลังผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ชี้กระทบต่อราคาขายปลีกไทยได้ในระยะต่อไป จับตา 9 ธ.ค.กลุ่มนอกโอเปกจะร่วมลดกำลังผลิตตามคาดหรือไม่
นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า จากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก หรือโอเปก ซึ่งผลิตน้ำมันคิดเป็น 1 ใน 3 ของอุปทานโลก บรรลุข้อตกลงลดกำลังผลิตลงราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 32.5 ล้านบาร์เรล นับตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นไปนั้นส่งผลให้สัญญาณราคาน้ำมันจะเป็นขาขึ้น แต่ก็ต้องดูว่ากลุ่มโอเปกจะปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด และต้องจับตาดูกลุ่มนอกโอเปกว่าจะลดกำลังผลิตด้วยหรือไม่
“ราคาน้ำมันขายปลีกของไทยก็จะสะท้อนตามกลไกตลาดโลก แต่จะไม่ได้ขยับขึ้นทันที เพราะเมื่อต้นทุนน้ำมันดิบขึ้นก็ย่อมกระทบต่อต้นทุนในไทยเช่นกัน” นายทวารัฐกล่าว
นอกจากนี้ กลุ่มนอกโอเปกเองหากไม่ลดกำลังผลิตแล้วจะเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นหรือไม่ด้วย เพราะน้ำมันจากชั้นหินดินดาน หรือเชลล์ออยล์ในสหรัฐฯ เป็นตัวแปรที่สำคัญและพร้อมจะเพิ่มกำลังผลิตหากราคาจูงใจ ทั้งนี้ สนพ.ซึ่งอยู่ในทีมนักวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกระทรวงพลังงานซึ่งมีกลุ่ม ปตท.ร่วมอยู่ด้วย ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2560 อยู่ในระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยความต้องการน้ำมันดิบของโลกในปี 2560 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับราว 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ด้าน บมจ.ไทยออยล์ รายงานว่า หลังโอเปกมีมติลดกำลังผลิตก็ทำให้ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดวานนี้ขยับขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 4.21 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน เพิ่มขึ้น 4.09 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้นถ้วนหน้า โดย ปตท.ช่วงหนึ่งระหว่างการซื้อขายขึ้นไปถึง 16 บาท ราคาอยู่ที่ 365 บาท/หุ้น ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปิดวานนี้ ที่43.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นอกจากนี้ ต้องจับตาการประชุมระว่างผู้ผลิตในกลุ่มโอเปก และผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกในวันที่ 9 ธ.ค. เพื่อหาข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตต่อไป โดยกลุ่มโอเปกเสนอให้ผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกปรับลดกำลังการผลิตลงทั้งสิ้นราว 600,000 บาร์เรลต่อวัน