กลุ่มเกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น เตรียมเปิดหีบอ้อย 8 ธ.ค.นี้ คาดได้อ้อยเข้าหีบมากกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 10% ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ที่ดีขึ้นในปี 2560 ทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งน้ำตาล เยื่อกระดาษ เอทานอล และไฟฟ้า เผยไตรมาส 3 ปีนี้มีรายได้จากโรงไฟฟ้า 178 ล้านบาท โตกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้เพียง 14 ล้านบาท เพราะเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวลแล้ว 2 แห่ง
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิด หีบอ้อยสำหรับฤดูการผลิตปี 2559/2560 ในวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้ง 3 โรงงาน คือ เกษตรไทย รวมผล และไทยเอกลักษณ์ มากกว่าฤดูการผลิตปี 2558/2559 ไม่น้อยกว่า 10% เนื่องจากปีนี้ปริมาณฝนมากกว่าปีก่อน ประกอบกับการที่ฝ่ายไร่ของ KTIS ได้เข้าไปร่วมคัดเลือกพันธุ์อ้อย ปรับปรุงดิน และให้ความรู้กับชาวไร่อ้อยในการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น
“เมื่ออ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาลทรายและผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง มีปริมาณเพิ่มขึ้น ก็จะสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากขึ้น รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งเยื่อกระดาษ เอทานอล และไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงชีวมวล ก็จะได้ปริมาณมากขึ้น ในขณะที่ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วย ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มเคทิส ในปี 2560 จะดีกว่าปี 2559 อย่างแน่นอน” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
ทั้งนี้ นายณัฎฐปัญญ์ ได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมถึงความมั่นใจในการเพิ่มขึ้นของปริมาณอ้อยของกลุ่ม KTIS ว่า ปกติปริมาณผลผลิตอ้อยของกลุ่ม KTIS จะมีสัดส่วนประมาณ 9.2 - 9.5% ของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของประเทศไทย และในปีนี้ปริมาณน้ำฝนในเขตพื้นที่ภาคเหนือค่อนข้างดี จึงเชื่อว่าจะทำให้สัดส่วนปริมาณผลผลิตอ้อยของกลุ่ม KTIS กลับไปอยู่ที่ระดับดังกล่าว ดังนั้น แม้ว่ามีการคาดการณ์ว่าผลผลิตอ้อยที่เข้าสู่โรงงานน้ำตาลทั้งประเทศในปี 2560 ลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 91 ล้านตันอ้อย แต่ผลผลิตอ้อยของกลุ่ม KTIS น่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมากว่า 10% จึงทำให้เชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2560 จะดีขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับผลประกอบการของกลุ่ม KTIS ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 นั้นสายธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดของกลุ่มยังคงเป็นสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ซึ่งมีรายได้ประมาณ 3,044 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 79% ของรายได้รวม 3,879 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มธุรกิจชีวพลังงานมีสัดส่วนรายได้ลดลงจากไตรมาสก่อนเหลือเพียง 21% เนื่องจากปริมาณอ้อยที่มีน้อยลงทำให้ได้ปริมาณชานอ้อยและโมลาสที่ส่งต่อไปยังสายการผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องลดลง
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า สายธุรกิจที่มีรายได้เติบโตสูงในไตรมาสที่ 3 ของปี 2559 คือโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล ซึ่งมีรายได้ประมาณ 178 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้เพียง 14 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสที่ 3 ปีนี้สามารถรับรู้รายได้ทั้งโรงไฟฟ้าเกษตรไทยไบโอเพาเวอร์ และไทยเอกลักษณ์เพาเวอร์
ทั้งนี้ รายได้รวม 9 เดือนของปี 2559 ของบริษัทและบริษัทย่อย เท่ากับ 12,559 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2558 ซึ่งมีรายได้ 15,030 ล้านบาท