JMART Group ไตรมาส 3 โตเด่น หลังผนึกบริษัทในเครือ JMT-J-SINGER ธุรกิจมือถือ และอุปกรณ์เสริมของ JMART ยังมีการเติบโตดี ธุรกิจบริหารหนี้ของ JMT ซื้อหนี้เข้ามาบริหาร และจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้า ขณะธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าของ J มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว และเตรียมรับรู้รายได้จาก The Jas Urban ศรีนครินทร์ และ SINGER เริ่มเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ ผู้บริหารเปิดเกมรุกการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพิ่ม
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวถึงผลการดําเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย งวดประจําไตรมาส 3/2559 งบการเงินรวมมีกําไรสุทธิ 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 23% คิดเป็นอัตรากําไรสุทธิ 4.2% สำหรับงบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2559 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 42% คิดเป็นอัตรากําไรสุทธิ 4.0% ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การดําเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทภายในกลุ่มผนึกกําลัง (Synergy) ผลักดันให้ผลการดําเนินงานของกลุ่มบริษัทยังคงเติบโต
บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขาย และการให้บริการในกลุ่มประจําไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 2,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 232 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% สาเหตุเกิดจากรายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เท่ากับ 2,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขายของบริษัทฯ ผ่านหน้าร้าน Jaymart และผ่านช่องทางการจำหน่ายใหม่ที่เป็นผลจากการ Synergy ร่วมกันของกลุ่มบริษัท โดยเฉพาะยอดขายจากพนักงานขายของ SINGER ที่เจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดในช่วงที่ผ่านมา เริ่มเห็นผลชัดเจน และได้รับการตอบรับที่ดีมาก
ขณะที่รายได้จากการติดตามหนี้สิน และบริการอื่นผ่านบริษัทย่อย JMT 292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% เนื่องจากบริษัสามารถจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพได้เพิ่มขึ้น และมีรายได้จากโครงการปล่อยสินเชื่อ J Money ส่วนธุรกิจรายได้ค่าเช่าผ่านบริษัทย่อย J 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากโครงการใหม่ The Jas รามอินทรา คอมมูนิตีมอลล์แห่งที่ 2 ของบริษัทฯ เข้ามาสนับสนุนรายได้เพิ่มขึ้น
“ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2559 ที่ออกมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จจากการเริ่มทำ Synergy ร่วมกันของบริษัทในเครือทั้ง JMT, J และ SINGER และจะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายทั้งในปี 2559 และปี 2560 เป็นต้นไป โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ถือหุ้น 90.16% ซึ่งประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล แล้ว หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น JMT อนุมัติการสละสิทธิ์การเพิ่มทุน นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ จัดตั้งบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด เพื่อรับโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ถือหุ้น 99.99% และมีแผนในการปรับโครงสร้างบริษัทฯ เป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี โดยยังคงสถานะเป็นบริษัทมหาชน เพื่อรุกการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และลดความเสี่ยงในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปี 2560 สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้ JMART Group ได้อย่างมีศักยภาพ” นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำไตรมาส 3/2559 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 51.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 137% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 17% เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจบริหารหนี้เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้รวมประจำไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 302.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 121.7 ล้านบาท หรือ 67.3% สาเหตุเกิดจากรายได้การบริการติดตามหนี้สิน และบริการอื่น เพิ่มขึ้น 8.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.3% มีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเพิ่มขึ้น 48.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.1% เนื่องจากบริษัทฯ สามารถจัดเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อได้มากขึ้น รวมทั้งมีรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 64.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 525.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยของบริษัทฯ มียอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับงบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 71.4 ล้านบาท ลดลงจากงวด 9 เดือน ปีก่อน 7.9 % คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.2% สาเหตุหลักมาจากการลงทุน และตั้งสำรองของธุรกิจปล่อยสินเชื่อภายใต้การบริหารงานของบริษัทย่อย JMT PLUS ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนรายได้รวมงวด 9 เดือน ปี 2559 อยู่ที่ 775.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 264.3 ล้านบาท คิดเป็น 51.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ และรายได้ดอกเบี้ย รวมทั้งรายได้ที่เกี่ยวข้อง
โดยผลงานไตรมาส 3/2559 ที่ออกมาถือว่าเติบโตได้เป็นอย่างดี จากความสำเร็จในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง สามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่แล้วที่ 97,099 ล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตอย่างโดดเด่นให้แก่ JMT ได้ในอนาคต
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3/2559 มีรายได้ค่าเช่าและบริการ และรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 127.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากไตรมาส 3 ปีก่อน 0.2% สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2559 รายได้ค่าเช่าและบริการ และรายได้อื่น 412.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.5% เป็นผลจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ที่ The Jas รามอินทรา ทั้งนี้ จากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ของบริษัทฯ ส่งผลให้ไตรมาส 3/2559 มีผลขาดทุน 6.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3/2558 ที่มีผลกำไรสุทธิ 14.9 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินการของบริษัทฯ งวด 9 เดือน ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 11.8 ล้านบาท ลดลง 72.8% จากงวด 9 เดือน ปี 2558 อยู่ที่ 43.5 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.9% โดยสาเหตุมาจากต้นทุนค่าเช่า และบริการที่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงของการลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างฐานการเติบโตจากผู้เช่าในระยะยาว เป็นผู้นำผู้ประกอบธุรกิจบริหารพื้นที่เช่ารายใหญ่ ภายใต้ชื่อ “IT JUNCTION” และ “The Jas” โดยภายในไตรมาส 4/2559 บริษัทฯ มีแผนการเปิดโครงการล่าสุด The Jas Urban ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นไปตามแผนดำเนินงานที่วางไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เปิดจองให้กับผู้เช่ารายใหญ่ และรายย่อย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่ไปมากกว่า 97% ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เช่าที่มีศักยภาพสูง และเป็นแบรนด์ที่สามารถดึงดูดลูกค้าในย่านศรีนครินทร์ได้ ภายหลังจากการเปิดดำเนินการโครงการดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าจากโครงการได้ตามเป้าหมาย
ด้าน นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 5.1 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.6 ล้านบาท หรือลดลง 51.4% ในส่วนของรายได้รวมของบริษัทฯ อยู่ที่ 554.5 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 796.7 ล้านบาท สาเหตุมาจากยอดขายสินค้าหลักเมื่อหักยอดขายสมาร์ทโฟนตามเงื่อนไขสัญญาการฝากขายสินค้ากับ JMART และดอกเบี้ยรับจากการผ่อนชำระของบัญชีเช่าซื้อปรับตัวลดลง ขณะที่รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.40 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.2 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 114.0 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2,001.5 ล้านบาท ลดลง 24.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,652.6 ล้านบาท โดยสัดส่วนการขายสินค้าระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน และสินค้าเชิงพาณิชย์ ตลอดจนสมาร์ทโฟนในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 47%, 37% และ 16% ตามลำดับ อันเป็นผลมาจากนโยบายของบริษัทฯ ที่มีการกำหนดเกณฑ์อนุมัติเครดิตสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โดย SINGER ครองความเป็นผู้นำช่องทางค้าปลีกที่มี Sale Network เข้มแข็งที่สุดในประเทศไทย ในปีนี้บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ภายใต้การ Synergy ร่วมกันกับ JMART Group รวมทั้งปรับโครงสร้างภายในให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากยอดขายสินค้าหลักที่ปรับตัวลดลงตามสภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังการบริโภค และการจับจ่ายใช้สอยในภาคเอกชนลดลง เว้นเพียงแต่กลุ่มสินค้าตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ จักรเย็บผ้า และพัดลมไอเย็น ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากโครงการช่วยเหลือประชาชน เศรษฐกิจฐานรากจากภาครัฐ “โครงการประชารัฐ” ที่เริ่มเดินหน้าเข้าถึงหมู่บ้านต่างๆ ในชนบทตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา
“บริษัทฯ มั่นใจว่า จากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ชั่วคราวในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน จะสนับสนุนให้ในระยะยาว SINGER มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งขึ้น โดยใช้จุดแข็งของ SINGER คือ ระบบ Sale Network ที่เข้มแข็งที่สุดเพื่อรุกตลาด และการมี Brand Royalty อย่างเหนียวแน่น จึงมั่นใจว่า ในปี 2560 SINGER จะมีความพร้อมในทุกด้าน และจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างชัดเจน” นางนงลักษณ์ กล่าว
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART กล่าวถึงผลการดําเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย งวดประจําไตรมาส 3/2559 งบการเงินรวมมีกําไรสุทธิ 109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 23% คิดเป็นอัตรากําไรสุทธิ 4.2% สำหรับงบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2559 บริษัทฯ มีกําไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 42% คิดเป็นอัตรากําไรสุทธิ 4.0% ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การดําเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทภายในกลุ่มผนึกกําลัง (Synergy) ผลักดันให้ผลการดําเนินงานของกลุ่มบริษัทยังคงเติบโต
บริษัทฯ มีรายได้รวมจากการขาย และการให้บริการในกลุ่มประจําไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 2,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 232 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10% สาเหตุเกิดจากรายได้จากการขายสินค้าในกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เท่ากับ 2,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกลยุทธ์การขายของบริษัทฯ ผ่านหน้าร้าน Jaymart และผ่านช่องทางการจำหน่ายใหม่ที่เป็นผลจากการ Synergy ร่วมกันของกลุ่มบริษัท โดยเฉพาะยอดขายจากพนักงานขายของ SINGER ที่เจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดในช่วงที่ผ่านมา เริ่มเห็นผลชัดเจน และได้รับการตอบรับที่ดีมาก
ขณะที่รายได้จากการติดตามหนี้สิน และบริการอื่นผ่านบริษัทย่อย JMT 292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% เนื่องจากบริษัสามารถจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพได้เพิ่มขึ้น และมีรายได้จากโครงการปล่อยสินเชื่อ J Money ส่วนธุรกิจรายได้ค่าเช่าผ่านบริษัทย่อย J 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากโครงการใหม่ The Jas รามอินทรา คอมมูนิตีมอลล์แห่งที่ 2 ของบริษัทฯ เข้ามาสนับสนุนรายได้เพิ่มขึ้น
“ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2559 ที่ออกมา แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จจากการเริ่มทำ Synergy ร่วมกันของบริษัทในเครือทั้ง JMT, J และ SINGER และจะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดันให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายทั้งในปี 2559 และปี 2560 เป็นต้นไป โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด ถือหุ้น 90.16% ซึ่งประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล แล้ว หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น JMT อนุมัติการสละสิทธิ์การเพิ่มทุน นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจ จัดตั้งบริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด เพื่อรับโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทฯ จะเป็นผู้ถือหุ้น 99.99% และมีแผนในการปรับโครงสร้างบริษัทฯ เป็นบริษัทโฮลดิ้งคอมพานี โดยยังคงสถานะเป็นบริษัทมหาชน เพื่อรุกการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงาน และลดความเสี่ยงในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในปี 2560 สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้ JMART Group ได้อย่างมีศักยภาพ” นายอดิศักดิ์ กล่าว
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT กล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ประจำไตรมาส 3/2559 งบการเงินรวมมีกำไรสุทธิ 51.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 137% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 17% เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจบริหารหนี้เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้รวมประจำไตรมาส 3/2559 อยู่ที่ 302.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 121.7 ล้านบาท หรือ 67.3% สาเหตุเกิดจากรายได้การบริการติดตามหนี้สิน และบริการอื่น เพิ่มขึ้น 8.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.3% มีรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อเพิ่มขึ้น 48.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.1% เนื่องจากบริษัทฯ สามารถจัดเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อได้มากขึ้น รวมทั้งมีรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น 64.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 525.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทย่อยของบริษัทฯ มียอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับงบการเงินรวมงวด 9 เดือน ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 71.4 ล้านบาท ลดลงจากงวด 9 เดือน ปีก่อน 7.9 % คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 9.2% สาเหตุหลักมาจากการลงทุน และตั้งสำรองของธุรกิจปล่อยสินเชื่อภายใต้การบริหารงานของบริษัทย่อย JMT PLUS ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนรายได้รวมงวด 9 เดือน ปี 2559 อยู่ที่ 775.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 264.3 ล้านบาท คิดเป็น 51.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ และรายได้ดอกเบี้ย รวมทั้งรายได้ที่เกี่ยวข้อง
โดยผลงานไตรมาส 3/2559 ที่ออกมาถือว่าเติบโตได้เป็นอย่างดี จากความสำเร็จในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง สามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่แล้วที่ 97,099 ล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตอย่างโดดเด่นให้แก่ JMT ได้ในอนาคต
นายสุพจน์ วรรณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำไตรมาส 3/2559 มีรายได้ค่าเช่าและบริการ และรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 127.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากไตรมาส 3 ปีก่อน 0.2% สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2559 รายได้ค่าเช่าและบริการ และรายได้อื่น 412.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9.5% เป็นผลจากการเปิดศูนย์การค้าใหม่ที่ The Jas รามอินทรา ทั้งนี้ จากการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ของบริษัทฯ ส่งผลให้ไตรมาส 3/2559 มีผลขาดทุน 6.1 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 3/2558 ที่มีผลกำไรสุทธิ 14.9 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินการของบริษัทฯ งวด 9 เดือน ปี 2559 มีกำไรสุทธิ 11.8 ล้านบาท ลดลง 72.8% จากงวด 9 เดือน ปี 2558 อยู่ที่ 43.5 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.9% โดยสาเหตุมาจากต้นทุนค่าเช่า และบริการที่สูงขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม มองว่าภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมา เป็นช่วงของการลงทุนในโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างฐานการเติบโตจากผู้เช่าในระยะยาว เป็นผู้นำผู้ประกอบธุรกิจบริหารพื้นที่เช่ารายใหญ่ ภายใต้ชื่อ “IT JUNCTION” และ “The Jas” โดยภายในไตรมาส 4/2559 บริษัทฯ มีแผนการเปิดโครงการล่าสุด The Jas Urban ศรีนครินทร์ ซึ่งเป็นไปตามแผนดำเนินงานที่วางไว้ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ ได้เปิดจองให้กับผู้เช่ารายใหญ่ และรายย่อย ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมียอดจองพื้นที่ไปมากกว่า 97% ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เช่าที่มีศักยภาพสูง และเป็นแบรนด์ที่สามารถดึงดูดลูกค้าในย่านศรีนครินทร์ได้ ภายหลังจากการเปิดดำเนินการโครงการดังกล่าวจะทำให้บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าจากโครงการได้ตามเป้าหมาย
ด้าน นางนงลักษณ์ ลักษณะโภคิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 5.1 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.6 ล้านบาท หรือลดลง 51.4% ในส่วนของรายได้รวมของบริษัทฯ อยู่ที่ 554.5 ล้านบาท ลดลง 30.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 796.7 ล้านบาท สาเหตุมาจากยอดขายสินค้าหลักเมื่อหักยอดขายสมาร์ทโฟนตามเงื่อนไขสัญญาการฝากขายสินค้ากับ JMART และดอกเบี้ยรับจากการผ่อนชำระของบัญชีเช่าซื้อปรับตัวลดลง ขณะที่รายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้น
ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 86.40 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24.2 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 114.0 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2,001.5 ล้านบาท ลดลง 24.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,652.6 ล้านบาท โดยสัดส่วนการขายสินค้าระหว่างเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือน และสินค้าเชิงพาณิชย์ ตลอดจนสมาร์ทโฟนในระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 47%, 37% และ 16% ตามลำดับ อันเป็นผลมาจากนโยบายของบริษัทฯ ที่มีการกำหนดเกณฑ์อนุมัติเครดิตสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสินค้าเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าสภาวะเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โดย SINGER ครองความเป็นผู้นำช่องทางค้าปลีกที่มี Sale Network เข้มแข็งที่สุดในประเทศไทย ในปีนี้บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ภายใต้การ Synergy ร่วมกันกับ JMART Group รวมทั้งปรับโครงสร้างภายในให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถตรวจสอบได้ แม้จะได้รับผลกระทบจากยอดขายสินค้าหลักที่ปรับตัวลดลงตามสภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว กำลังการบริโภค และการจับจ่ายใช้สอยในภาคเอกชนลดลง เว้นเพียงแต่กลุ่มสินค้าตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ จักรเย็บผ้า และพัดลมไอเย็น ที่มียอดขายเพิ่มสูงขึ้น เป็นผลจากโครงการช่วยเหลือประชาชน เศรษฐกิจฐานรากจากภาครัฐ “โครงการประชารัฐ” ที่เริ่มเดินหน้าเข้าถึงหมู่บ้านต่างๆ ในชนบทตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา
“บริษัทฯ มั่นใจว่า จากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นสถานการณ์ชั่วคราวในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน จะสนับสนุนให้ในระยะยาว SINGER มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งขึ้น โดยใช้จุดแข็งของ SINGER คือ ระบบ Sale Network ที่เข้มแข็งที่สุดเพื่อรุกตลาด และการมี Brand Royalty อย่างเหนียวแน่น จึงมั่นใจว่า ในปี 2560 SINGER จะมีความพร้อมในทุกด้าน และจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นได้อย่างชัดเจน” นางนงลักษณ์ กล่าว