“คลัง” เดินเครื่องโครงการที่อยู่อาศัยคนชรา เตรียมเปิดประมูลเอกชนพัฒนาโครงการฯ โดยเสนอจำนวนยูนิตตามสัดส่วนฯ คาดจะก่อสร้าง และเปิดให้ ปชช.จอง โดยใช้เวลาไม่นานมาก ส่วนกรณีเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจมีผลต่อตลาดเงิน และตลาดทุน แต่เชื่อว่า ศก.ไทยแข็งแกร่งรับความผันผวนได้
นายพรชัย ฐีระเวช รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า โครงการสร้างที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ ที่ประชุม ครม.มอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รับผิดชอบดูแลโครงการด้วยการใช้ที่ราชพัสดุ สร้างที่อยู่อาศัย 4 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ใช้พื้นที่ 50 ไร่ นครนายก 14 ไร่ เชียงใหม่ 7.5 ไร่ เชียงราย 64 ไร่ กำหนดอัตราค่าเช่าพักอาศัย 1 บาทต่อตารางวาต่อปี รวมค่าธรรมเนียมประมาณ 500 บาทต่อเดือน ระยะเวลาเช่า 30 ปี ต่ออายุได้อีก 30 ปี รวมเป็น 60 ปี
นายพรชัย กล่าวว่า ขณะนี้ พม. และกรมธนารักษ์ กำลังเตรียมเปิดให้ภาคเอกชนเสนอการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยต้องมีการบริการสาธารณสุข สถานที่พักผ่อน บริการทางการแพทย์ เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย และเสนอจำนวนยูนิตตามสัดส่วนโครงการ คาดว่าจะก่อสร้าง และเปิดให้ประชาชนจอง โดยใช้เวลาไม่นานมาก
พร้อมกันนี้ ได้มอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ปล่อยสินเชื่อสำหรับการสร้างโครงการกับผู้ประกอบการวงเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับการใช้ที่ดินของภาคเอกชนดำเนินการก่อสร้าง และร่วมปล่อยสินเชื่อให้กับรายย่อย เพื่อซื้อบ้านคนชราเพื่ออยู่อาศัย นอกจากนี้ เห็นชอบให้ตั้งบรรษัทประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการขอสินเชื่ออสังหาในระบบรองรับการดูแลผู้สูงอายุ
นายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สำหรับร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ.… ในช่วง 3 ปีแรกกำหนดให้ผู้ประกอบการทุกรายที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 รายขึ้นไป ตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้กับลูกจ้าง หรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานรัฐทั้งนายจ้าง และลูกจ้างจ่ายสมทบเงินเข้ากองทุนฝ่ายร้อยละ 3 ใน 3 ปีแรก และเพิ่มร้อยละ 5 ในช่วง 4-6 ปี และนำส่งเพิ่มร้อยละ 7 ในช่วง 7-9 ปี และนำส่งร้อยละ 10 ในปีที่ 10 และปีที่ 4 กำหนดให้องค์กรที่มีแรงงาน 10 คน ต้องมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า องค์กรนิติบุคคลมีแรงงาน 1 คน ต้องมีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
นายวโรทัย กล่าวถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมองว่า หากนางฮิลลารี คลินตัน ได้รับเลือกจะมีความต่อเนื่องต่อการดำเนินนโยบายกับต่างประเทศ เน้นกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ มองว่า ฮิลลารีจะมีผลดีต่อไทย ไม่มีความเสี่ยง แต่หากเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ จะมีความเสี่ยงมากกว่าในระยะสั้น ต้องจับตาการเคลื่อนไหวต่อตลาดเงินตลาดทุน หากทรัมป์มาแรง สะท้อนต่อตลาดเงินตลาดทุนในช่วงแรก สำหรับเศรษฐกิจไทยยังมีความเข้มแข็งรองรับต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุน