แบงก์พาณิชย์หนุนทำโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัป เพื่อให้อยู่รอดทางธุรกิจได้จริง

แบงก์พาณิชย์หนุนจัดโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัป เพื่อให้อยู่รอดทางธุรกิจได้จริง ยอมรับที่ผ่านมาสตาร์ทอัปไทยมีปัญหา 3 ด้าน และล้มเหลวกว่า 90% ในการเริ่มต้นธุรกิจ เล็งใช้กลุ่มฟินเทคเข้าประเดิมโครงการหวังเป็นต้นแบบที่ดี

นายเจมส์ รามา ปัทมินทรวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ปัจจุบัน ธุรกิจสตาร์ทอัปในประเทศไทยมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการจัดตั้งธุรกิจสตาร์ทอัปเพิ่มขึ้นมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จาก 1 รายเป็น 72 ราย มีการระดมทุนจากประมาณเกือบ 100 ล้านบาท เป็น 3500 ล้านบาท แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าประเทศสิงคโปร์ ที่มีธุรกิจสตาร์ทอัปถึง 220 แห่ง แม้ว่าสิงคโปร์ จะมีประชากรน้อยกว่าประเทศไทยมาก สาเหตุเนื่องจากสตาร์ทอัปในประเทศไทยมีปัญหาอยู่ 3 ด้าน คือ ความสามารถของบุคคลากรในประเทศ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และช่องทางการขยายตลาด

ดังนั้น ธนาคารจึงได้จัดตั้งโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัป โดยจะมีการคัดเลือกสตาร์ทอัปกลุ่มฟินเทค เข้าร่วมอบรมที่ประเทศสิงคโปร์ เป็นระยะเวลา 3 เดือน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของสตาร์ทอัปกลุ่มฟินเทค ตั้งแต่ช่วงระยะเริ่มต้น โดยสตาร์ทอัปที่เข้าร่วมจะได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ เครือข่ายทางธุรกิจเพื่อปรับแผนธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์กับลูกค้าทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

พร้อมกันนี้ ยังเปิดให้มีการระดมทุนผ่าน 2 ทาง คือ ระดมทุนจากประชาชนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า crowdfunding และการให้เงินกู้ในรูปแบบของ venture debt เพื่อให้กลุ่มสตาร์ทอัปสามารถอยู่รอดทางธุรกิจจากที่ปัจจุบัน กลุ่มสตาร์ทอัปมีอัตราการล้มเหลวกว่าร้อยละ 90 ในช่วงการเริ่มต้นทำธุรกิจ เรื่องจากรูปแบบธุรกิจที่ไม่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ตอบโจทย์ตลาด ทีมงานที่ยังไม่มีประสบการณ์มากพอ และขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งลงทุน

โดยคุณสมบัติของสตาร์ทอัปที่เข้าร่วมโครงการต้องเริ่มต้นธุรกิจมาแล้วไม่เกิน 3 ปี และกำลังมองหาเงินทุนรวมทั้งต้องมีทีมงานมีทักษะ และความรู้เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน เช่น โมบายแบงกิ้ง เวลธ์เมเนจเมนต์ การบริหารความเสี่ยงทางการเงิน และเข้าใจการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นต้น โดยสามารถสมัครได้ที่ www.TheFinLab.com โดยจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559