มูลค่าการส่งออกไทยเดือนสิงหาคมกลับมาขยายตัวได้ 6.5% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกไม่รวมทองคำขยายตัวได้ 9% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ซึ่งปัจจัยหลักมาจากสินค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงอาหารหลายชนิดกลับมาขยายตัวได้ดี
การส่งออกไปตลาดออสเตรเลียเติบโตได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงตลาดอาเซียน และ CLMV ที่มีสัดส่วนราว 34% ก็ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ตามการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรปกลับมาขยายตัวได้หลังจากหดตัวมาหลายเดือน มูลค่าการนำเข้าหดตัวน้อยลงที่ -1.5% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยการนำเข้าสินค้าทุน รวมถึงวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่กลับมาเติบโต
EIC มองว่า การส่งออกไทยยังถูกกดดันจากราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า ทำให้ยังมีความเสี่ยงอยู่มาก ซึ่งแนวโน้มการส่งออกในระยะต่อไปก็ต้องจับตามองว่าจะฟื้นตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2016 มูลค่าการส่งออกของไทยจะลดลงประมาณ 2.1% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า โดยในช่วงที่เหลือของปีแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าที่ยังเปราะบาง และปัจจัยเสี่ยงด้านต่างๆ ทั่วโลกจะยังคงกดดันปริมาณการค้าโลกให้ไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกจะได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมัน และราคาสินค้าเกษตรที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ามูลค่าการนำเข้าของไทยจะลดลงราว 6.2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้า ในปี 2016 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวขึ้น ส่งผลให้มูลค่านำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงปรับตัวดีขึ้นให้ช่วงที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศที่ยังมีแนวโน้มชะลอตัวในปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลที่มีแนวโน้มจะล่าช้ากว่าที่คาด จะเป็นปัจจัยกดดันต่อการนำเข้าสินค้าทุนในระยะต่อไป
