xs
xsm
sm
md
lg

ศึกชิง ปธน.สหรัฐยังระอุ ชี้หุ้นไทยยังผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นางฮิลลารี่ คลินตัน และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เข้าสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2559
บล. KTBST ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ตลาดจับตาเรื่องการดีเบตผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมผู้ผลิตน้ำมัน แนะกลยุทธ์ปิดรอบการซื้อ คาดกรอบดัชนีสัปดาห์นี้แนวรับที่ 1,477-1,451 แนวต้านที่ 1,506-1,521 จุด แนะรอจังหวะรอบใหม่

คุณมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (26-30 กันยายน) เนื่องจากเป็นสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสที่ 3 นักลงทุนอาจซื้อขายแบบระมัดระวังกันมากขึ้น รวมทั้งมีปัจจัยที่ต้องติดตาม และมีผลต่อตลาด ไม่ว่าจะเป็นการดีเบต (Debate) ระหว่างผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2 ท่านในวันจันทร์ (26 ก.ย.) และการประชุมผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งทั้งสองเรื่องมีผลต่อทิศทางตลาดค่อนข้างมาก เราจึงประเมินว่า นักลงทุนจะรอตัดสินใจบนผลของ 2 ปัจจัยนี้ ประเมินในเบื้องต้น ไม่น่าจะออกมาเป็นบวกต่อตลาดได้มากนัก ทิศทางตลาดจึงน่าจะเป็นผันผวนในกรอบแคบมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ตัวแปรสำคัญๆ ของตลาดที่สำคัญ ซึ่งบริษัทฯ ให้น้ำหนักสำคัญกับ 2 ตัวแปร คือ การดีเบตระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากพรรครีพับลิกัน ในวันจันทร์ ซึ่งจะเป็นการโต้วาทีครั้งแรกจากจำนวน 3 ครั้ง ระหว่างผู้สมัครจากทั้ง 2 พรรค เหตุที่สำคัญต่อตลาด เพราะนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ นั้น ถูกมองว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงต่อการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายต่างๆ ค่อนข้างมาก หากมีอะไรก็ตามที่เป็นสัญญาณว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง จะเป็นลบต่อตลาดหุ้น

ขณะที่การประชุมผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC-ผู้ผลิตนอกกลุ่ม) เช่นเดียวกับที่แสดงความเห็นในสัปดาห์ก่อน แม้จะมีการประชุมจริง แต่ผลการประชุมอาจแค่พยุงราคาน้ำมันไว้ให้แกว่งในกรอบ 40-50 เหรียญสหรัฐ เท่านั้น ไม่ขึ้นไกลกว่านี้ เพราะ Supply ไม่ได้ลดลงจากระดับปัจจุบัน เราจึงไม่คาดหวังอะไรกับการประชุมครั้งนี้ ข่าวล่าสุดว่า จะประชุม 28 ก.ย.นี้ เริ่มมีบางประเทศ (ที่จะเข้าประชุม) ประเมินว่า ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งๆ ที่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า จะบรรลุข้อตกลงได้ก็ตาม ซึ่งหากผลการประชุมออกมาแล้วชี้ว่า ราคาน้ำมันจะขึ้นไปเหนือ 50 เหรียญสหรัฐได้ จึงจะเป็นบวกต่อตลาด และหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน+โรงกลั่นน้ำมัน แต่ถึงกระนั้น ผลในทางลบต่อราคาน้ำมันจะเป็นลบต่อหุ้นเหล่านี้ไม่มาก เนื่องจากตลาดไม่ได้ให้ราคากับการประชุมครั้งนี้อยู่แล้ว

ทั้งนี้ ผลพวงจากการประชุม FOMC และ BOJ คาดจะยังมีผลบวกต่อตลาดหุ้นใน และต่างประเทศอยู่ เนื่องจากการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ที่อย่างเร็ว ประชุมครั้งต่อไป คือ 1-2 พฤศจิกายน ขณะที่ BOJ นั้น นโยบายการเงินอย่างยังดูไม่ชัดนักว่า การใช้ QQE จะให้ผลในทางใด การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ซื้อกลุ่มหลักของตลาดหุ้นไทยปี 2559 นั้น แรงซื้อเดือน กันยายน จนถึงวันที่ 23 กันยายน ดูแผ่วไปบ้าง และยอดซื้อสะสมปีนี้ยังวนเวียนแถวๆ 1.3 แสนล้านบาทไม่เปลี่ยน น่าจะเป็นสัญญาณว่า เงินก้อนใหม่มีน้อยลง โดยเงินลงทุนที่มีอยู่ เป็นเงินที่วนสลับในตลาดหุ้น-พันธบัตร หรือสลับในหุ้นด้วยกัน แบบนี้เป็นสัญญาณว่า SET Index จะขึ้นไปได้ก็ไม่ไกล ถ้าไม่มีเงินก้อนใหม่ๆ เข้ามา

ด้านตัวเลขส่งออกไทย เดือนสิงหาคม ในวันที่ 26 หรือ 27 กันยายน กระทรวงพาณิชย์ จะรายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนสิงหาคม ผลสำรวจจาก Bloomberg คาดมูลค่าส่งออก 1.74 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 1.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (กรกฎาคม -6.4%) และมูลค่านำเข้า 1.62 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (กรกฎาคม -7.2%) โดยมูลค่าการส่งออกช่วง 7 เดือนแรก ลดลง 2.3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ไม่รวมทองคำ จะลดลง 5.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หากตัวเลขออกมาตามที่คาด จะบ่งชี้ว่า ภาคส่งออกของไทย และเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ายังไม่ฟื้นตัว หุ้นกลุ่มที่มีมูลค่าส่งออกสูงของไทยที่เดือน ก.ค. ยังติดลบ จะเป็นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป

ส่วนกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ มองว่าการเข้าทำกำไรในจังหวะรีบาวนด์จากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะหมดลง นักลงทุนที่เก็งกำไรระยะสั้นๆ ควรปิดรอบการเล่นไปก่อน แล้วรอ หรือเลือกลงทุนในหุ้นตัวใหม่ที่ขึ้นน้อย แต่คงต้องปรับเป็นลงทุนในกรอบเวลาสั้นๆ การเข้าลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ ควรรอสัญญาณบวก ทั้งจากการ debate ผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผลประชุมน้ำมัน หรือดัชนีฯ ดีดตัวกลับขึ้นไปยืนเหนือ 1,500 จุดให้ได้ก่อน มองกรอบแนวรับของสัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,477-1,451 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,506-1,521 จุด

“หุ้นที่น่าสนใจ แบ่งเป็นหุ้นที่คาดว่า จ่ายเงินปันผลดี สม่ำเสมอ และได้ประโยชน์ต่อจากการ Fed ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ได้แก่ DIF, SPALI หุ้นกลุ่มส่งออก หรือรายได้อิงดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ KCE, TOG, BANPU หุ้นเด่นๆ ในพอร์ตที่ KTBST วิเคราะห์มองว่า ราคาลงมาจนน่าสนใจ ได้แก่ TSE, PIMO, TCAP หุ้นที่มีประเด็นบวกอื่นๆ หรือราคาลงมามาก ได้แก่ HTECH, TVO, AUCT, GENCO”
กำลังโหลดความคิดเห็น