บล.เอเชียเวลท์ มองตลาดผันผวนเป็น Sideway พร้อมกรอบ 1,472-1,510 จุด ด้านประเด็น Window dressing เป็นไปได้ว่าจะมี แต่ในระยะหลังอิทธิพลจะลดน้อยลง หากวิเคราะห์พฤติกรรมนักลงทุนสถาบันในประเทศในระยะหลังพบว่า จะขายออกเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น Window dressing อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งขอแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวัง
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงผันผวน โดยมองว่า ดัชนี (SET Index) จะผันผวน Sideway มองกรอบที่ 1,472-1,510 จุด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ยทำให้บรรยากาศการลงทุนดีขึ้น เม็ดเงินต่างชาติที่อยู่ในเอเชียยังคงที่ และเม็ดเงิน Brexit ยังคงอยู่ แต่การที่ราคาน้ำมันร่วงลงหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (23 ก.ย.) เกือบ 4% ฉุดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลง ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก นอกจากนี้ ดูท่ากองทุนในประเทศจะยังขายทำกำไรต่อเนื่อง จะกดดันตลาดบ้านเราอีก
สัปดาห์นี้ คาดว่าตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ จุดสนใจของโลกจะไปอยู่ที่การโต้วาทีของผู้สมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง นางฮิลลารี่ คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ว่าจะเป็นอย่างไร ใครนำใครเพลี่ยงพล้ำ ซึ่งหากแนวโน้มของผลออกมาเป็นนายทรัมป์นำ ก็น่าจะส่งผลลบต่อตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงของโลก เนื่องจากประเด็นการหาเสียงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายจากของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เป็นอันมาก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนสูง กลายเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้จะมีตัวเลขรายละเอียดจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือน ส.ค. ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะประกาศออกมา ซึ่งคาดว่าน่าจะออกมาดี
ด้านประเด็น Window dressing เป็นไปได้ว่าจะมี แต่ในระยะหลังอิทธิพลจาก Window dressing จะลดน้อยลง หากวิเคราะห์พฤติกรรมนักลงทุนสถาบันในประเทศในระยะหลังแล้วพบว่า จะขายออกเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น Window dressing อาจเกิด หรือไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งขอแนะนำให้นักลงทุนระมัดระวัง เพราะกองทุนในประเทศมีการขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องติดตามว่า ในสัปดาห์นี้จะขายต่อหรือไม่
กลยุทธ์การลงทุน มุมมองระยะยาวยังมองเป็นบวก เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว และมั่นคงมาก แม้จะมีความกังวลเรื่องการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงบ้าง แต่รัฐบาลก็มีการออกมาตรการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนภาครัฐจะเห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมมากในปีหน้า ทั้งนี้ หากหุ้นปรับตัวลงเยอะ สำหรับนักลงทุนระยะยาว แนะนำให้เข้าซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูง แต่สำหรับนักลงทุนระยะสั้น แนะนำให้ระมัดระวัง และคอยขายทำกำไรทุกครั้งเมี่อมีกำไร
สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ แนะนำซื้อหุ้น บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) ราคาเป้าหมาย 7.50 บาท ANAN มีแนวโน้มธุรกิจของบริษัทดีมาก จากภาพรวมของธุรกิจคอนโดมีเนียมตามแนวรถไฟฟ้ามีแนวโน้มที่สดใสตามการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชน โดยบริษัทมียอดเตรียมโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ให้กับลูกค้าเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีแผนเปิดโครงการใหม่รองรับการเติบโตในอนาคตอีกหลายโครงการ
“คาดการณ์กำไรสุทธิปี 59 เติบโต 15% YoY เป็น 1.4 พันล้านบาท (0.42 บาทต่อหุ้น) และเติบโต 81% YoY เป็น 2.5 พันล้านบาท ในปี 60 เป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการจำนวนมากไปเมื่อปี 56-57 ทำให้เริ่มมีการโอนโครงการขนาดใหญ่เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังปี 59” นายวรุตม์ กล่าว
ANAN ร่วมทุนกับ Mitsui Fudosan (MF) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เบอร์หนึ่งของญี่ปุ่น โดยโครงการที่ร่วมทุน ANAN ถือหุ้น 51% และ MF ถือหุ้น 49% โครงการแรกที่ร่วมทุนกัน คือ Ideo Q จุฬา-สามย่าน มูลค่าโครงการ 6,800 ล้านบาท จะเริ่มโอนในไตรมาส 4/59 ตามด้วยโครงการใหญ่อีกหลายโครงการที่ร่วมทุนกันแล้วประสบความสำเร็จ ในปี 2559 ยอดโอนคาดว่าจะเป็น 15,601 ล้านบาท เติบโต 62% YoY เป็นส่วนของ ANAN เอง 72% ที่เหลือเป็นโครงการร่วมทุน และปี 2560 คาดว่า ยอดโอนจะเป็น 30,215 ล้านบาท เติบโต 94% YoY เป็นส่วนของ ANAN 52% ที่เหลือเป็นโครงการร่วมทุน ล่าสุด เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ANAN เปิดตัวอย่างเป็นทางการสำหรับโครงการ Ideo Mobi อโศก และ Vinio สุขุมวิท 10 คาดว่าประสบความสำเร็จสูงสำหรับการเพิ่มยอด Presales
ทั้งนี้ การที่บริษัทยึดแนวทางธุรกิจในการสร้างคอนโดมีเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ คาดว่า จะส่งผลบวกในระยะยาว เพราะคาดว่าการขยายตัวของระบบขนส่งรถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอีกมากใน 5-8 ปีข้างหน้า โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER 11.1 เท่า คาดว่าจะลดลงเป็น 6.1 เท่า ซึ่งเทียบกับการเติบโตของกำไรในระดับสูงในอนาคตแล้วถือว่าหุ้น ANAN ยังถูกมาก
ด้าน Technical รูปแบบราคาเกิดสัญญาณซื้อในรายวัน และรายเดือน โดยรอการเกิดสัญญาณซื้อรายสัปดาห์ ซึ่งเป้าหมายถัดไปของ ANAN คือ 4.98 บาท มีจุด Stop Loss ที่ 4.56 บาท