xs
xsm
sm
md
lg

แนะจับตา 3 ปัจจัยสำคัญกระทบตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นทั่วโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


โบรกเกอร์แนะจับตา 3 ปัจจัยสำคัญกระทบหุ้นไทย และตลาดหุ้นทั่วโลก อาจเป็นบวก หรือลบก็ได้ ยอมรับคาดการณ์ได้ยากมาก ระบุหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยเดือน ก.ย.นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแน่ แต่ถ้าไม่ส่งสัญญาณ SET มีสิทธิยืนเหนือ 1,500 จุด

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผอ.อาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ขณะนี้นักลงทุนจับตา 3 ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นโลกในปี 2559 ประกอบด้วยนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะประชุมอีก 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือน ก.ย. และเดือน พ.ย.นี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางอังกฤษ (อีซีบี) ธนาคารกลางยุโรป (บีโออี) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เป็นต้น โดยทั้งหมดอาจจะเป็นผลบวก และผลลบต่อตลาดหุ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ฯ ไม่สามารถประมาณการล่วงหน้าได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น มีนักวิเคราะห์ฯ ในสหรัฐฯ ได้นำนโยบายของผู้สมัครทั้งสองรายมาประเมินแล้ว คือ ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน และนางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ได้มีการคำนวณดัชนีว่า หากใครชนะเลือกตั้ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปรับขึ้น หรือปรับลดลงอย่างไร โดยเฉพาะนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความผ่อนคลายน้อยกว่านางฮิลลารี

“เฟดน่าจะเป็นปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญมากสุด หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้เงินทุนส่วนหนึ่งไหลเข้าสหรัฐฯ โดยเฉพาะในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ หากขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้หุ้นไทยร่วงลงมาอยู่ในระดับ 1,430-1,450 จุด แต่หากคงดอกเบี้ย และเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ที่รุนแรง น่าจะทำให้สัปดาห์นี้หุ้นไทยปรับขึ้นทะลุ 1,500-1,520 จุดแน่นอน ส่วนนโยบายธนาคารกลางประเทศต่างๆ มีผลกระทบไม่มาก”

ขณะที่ปัจจัยในประเทศนั้น ยอมรับว่าในปัจจุบัน ต่างชาติเป็นตัวดันตลาดหุ้นให้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-16 ก.ย.2559 ต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 135,097 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิแล้ว 14,144 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 101,030 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 48,210 ล้านบาท

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า นักวิเคราะห์หุ้นได้เพิ่มน้ำหนักที่เฟด จะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย.นี้ หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ที่ปรับตัวขึ้นมากเกินคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความกังวลเรื่องดังกล่าว โดยนักวิเคราะห์ฯ ให้น้ำหนักความเป็นไปได้ที่เฟด ขึ้นดอกเบี้ยในระดับ 15% จากเดิมที่ให้น้ำหนักในการขึ้นดอกเบี้ย 12% เพราะดัชนีซีพีไอ เป็นหนึ่งในตัวเลขเศรษฐกิจที่เฟด จะนำไปพิจารณาเรื่องของนโยบายดอกเบี้ย


กำลังโหลดความคิดเห็น